ทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธ์
ไดโนเสาร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ในยุคเมโซโซอิก ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่ ยุคจูราสสิค ยุคไทรแอสซิก และยุคคริตเชเชียส โดยไดโนเสาร์มีความหลากหลายมากมายในด้านขนาด รูปร่าง และพฤติกรรม แต่ปัจจุบันยังไม่มีการระบุจำนวนที่แน่นอนของชนิดไดโนเสาร์ทั้งหมด เนื่องจากมีการค้นพบฟอสซิลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและการศึกษาเกี่ยวกับไดโนเสาร์ยังคงดำเนินไป
ตามการประมาณการ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีไดโนเสาร์ประมาณ 700 ถึง 900 ชนิดที่ได้รับการตั้งชื่อในปัจจุบัน แต่ถ้านับทั้งชนิดที่ยังไม่ถูกค้นพบ อาจมีไดโนเสาร์ถึงพันชนิดหรือมากกว่านั้น ตัวอย่างของไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่:
Tyrannosaurus rex (ทีเร็กซ์) – หนึ่งในนักล่าที่ใหญ่ที่สุด มีฟันแหลมคมและขากรรไกรที่แข็งแรง
Triceratops (ไทรเซอราทอปส์) – ไดโนเสาร์กินพืชที่มีสามเขาและกระดูกที่คล้ายเกราะ
Brachiosaurus (บราคิโอซอรัส) – ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่มีคอยาวเหมาะสำหรับการกินใบไม้จากต้นสูง
Velociraptor (เวลอซิราัปเตอร์) – ไดโนเสาร์นักล่าขนาดเล็กที่มีความเร็วและความคล่องตัวสูง
สาเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 65 ล้านปีมาแล้วในช่วงปลายยุคคริตเชเชียส ซึ่งมีทฤษฎีหลายประการเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ โดยที่สำคัญที่สุดมีอยู่สองข้อคือ:
อุกกาบาตตก: หลักฐานทางธรณีวิทยาชี้ให้เห็นว่ามีการตกของอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่บริเวณที่เป็นคาบสมุทรยูคาทานในเม็กซิโก ส่งผลให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่และสร้างฝุ่นละอองขึ้นไปในบรรยากาศ ส่งผลให้แสงแดดลดลง อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง และระบบนิเวศน์ในโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กิจกรรมของภูเขาไฟ: ข้อมูลบางชิ้นแสดงให้เห็นว่ามีกิจกรรมของภูเขาไฟที่เข้มข้นในช่วงเวลานั้น เช่น การระเบิดของภูเขาไฟ Deccan Traps ในอินเดีย ซึ่งปล่อยสารพิษและอาจส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศ ระบบนิเวศน์ และอาหารที่หาได้ ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนชีวิตของไดโนเสาร์ได้อีกต่อไป
การรวมกันของปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่มีชื่อว่า “Cretaceous-Paleogene extinction event” ซึ่งมีผลกระทบต่อสัตว์หลายชนิด รวมถึงไดโนเสาร์ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกมันสูญพันธุ์จนหมดสิ้น แต่ยังคงมีมรดกทางชีวภาพที่ส่งผ่านไปถึงสัตว์ปีกในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นลูกหลานของไดโนเสาร์ในอดีต