บทเรียนจาก
โควิด 19
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในช่วง เดือนธันวาคม พ.ศ 2562 โลก ต้องเจอกับมหาวิกฤตไวรัสโควิด – 19 ซึ่งถือเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุด ของมวลมนุษยชาติ วิกฤตการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทุกสารทิศ แทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการคมนาคมขนส่ง หรือแม้กระทั่ง ด้านการศึกษา นับเป็นช่วงเวลาที่โลก เริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านพฤติกรรม และรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ ที่เปลี่ยนไปจากความเคยชินเดิมๆ จากสิ่งที่เรานั้น ต้องพยายามปรับตัวกันในตอนเริ่มแรก ได้กลายเป็นความเคยชินในรูปแบบใหม่ และเริ่มเห็นผลลัพธ์อะไรบางอย่างแล้วว่า มันสามารถตอบโจทย์ชีวิต ได้มากกว่าความเคยชิน ในรูปแบบเดิมๆ
ความเคยชินในรูปแบบใหม่ หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า New Normal นั้น จะเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตครั้งนี้ผ่านพ้นไป ทั้งโลก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแทบจะทุกๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของไลฟ์สไตล์ การทำธุรกิจ การคมนาคมขนส่ง การสาธารณสุข และไม่เว้นแม้แต่ระบบการศึกษา อันเป็นผลมาจากความเคยชินของประชาชนเอง หรือแม้แต่หน่วยงานของภาครัฐ เริ่มตระหนักและให้ความสำคัญ ต่อการบริหารจัดการ เมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปแบบการดำเนินธุรกิจ จะเปลี่ยนไป หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด – 19
บทเรียนในครั้งนี้ สอนให้ผู้ประกอบการรู้แล้วว่า เมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉิน ทางรอดทางเดียวของธุรกิจแบบ Offline นั่นก็คือ ผลักดันตัวเองให้เข้าสู่ธุรกิจแบบ Online ให้เร็วที่สุด เพราะเป็นเครือข่ายเดียว ที่ไม่ได้รับผลกระทบในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ หรือแม้แต่ในวิกฤตการณ์ครั้งใดที่ผ่านมา เว้นแต่ว่า จะเกิดสงคราม หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ รุนแรงมากพอที่จะส่งผลทำให้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่ม และเสียหายไปทั่วโลก
นับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัส โควิด – 19 ถือเป็นช่วงเวลาสําหรับพิสูจน์ว่า ในฐานะที่คุณคือผู้ประกอบการ เมื่อเจอกับวิกฤต ธุรกิจของคุณจะยังสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบ มากน้อยเพียงใด

แนะนำตัวละคร : น้องชาฟ ตอนเป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัด กระบี่
ส่วนคุณในฐานะ พนักงานบริษัท ที่ปากท้องขึ้นอยู่กับเงินเดือนจากเจ้านาย เมื่อบริษัทที่คุณทำงานอยู่เจอวิกฤต บริษัทยังเห็นค่าในตัวคุณ หรือไม่ และบริษัท เลือกปฏิบัติแบบใดกับคุณ คุณโอเคจริงหรือไม่ กับ ข้อเสนอที่บริษัทยื่นให้กับคุณ หรือคุณแค่ไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีไปกว่า ยอมรับข้อเสนอนั้นไว้ ก่อนที่คุณนั้น จะไม่ได้อะไรเลย
ภาพประชาชน ที่ต่างพากันเดินทางกลับบ้าน มุ่งหน้าออกสู่ต่างจังหวัด เพื่อกลับถิ่นฐานบ้านเกิด ในช่วงที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล นับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ภาพท้องถนนในกรุงเทพที่โล่ง ปราศจาครถรา และความวุ่นวาย จากการดำรงชีวิตของคนในเมือง ที่มาจากต่างที่ ต่างถิ่น นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นได้บ่อยๆ นัก และไม่มีใครคาดคิดเลยว่า มันจะเกิดขึ้น
หลายชีวิตมีเวลาพักผ่อน ได้มีโอกาสนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน แต่ก็มีอีกหลายชีวิต ที่ต้องตกงานจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ หลายคนผ่านมันไปได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคน ที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง เพื่อหนีปัญหา บทเรียนในครั้งนี้ คงพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนัก และฉุดคิดกับความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า งานประจำมั่นคงกว่า ได้ไม่มากก็น้อย
ผมเชื่อว่าหลายคน ก็เคยผ่านเหตุการณ์ที่ว่านี้ มาด้วยตัวเอง น้องๆ หลายคน มักจะบ่นกันว่า ในขณะที่พวกเขากําลังเติบโต แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และความป่าเถื่อนของมนุษย์ ที่มันเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ และยังต้องมาเจอกับวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้อีก ถ้าผมมีโอกาสที่จะบอกพวกเขาเหล่านั้นด้วยตัวเอง ผมจะบอกพวกเขาทุกคนว่า พวกคุณโชคดีแล้ว ที่เกิดมาในโลกยุคนี้ เพียงแต่ว่า คุณต้องหาโอกาสในชีวิตของตัวเองให้เจอ
ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส
นี่เป็นเพียงบททดสอบข้อแรก ที่จะเป็นตัวชี้วัดได้ว่า คุณจะสามารถเป็นนายตัวเอง และประสบความสำเร็จในชีวิต ก่อนอายุ 30 ได้หรือไม่ เมื่อเจอกับวิกฤต คุณรับมือกับมันอย่างไร คุณมีวิธีคิดที่จะก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร ถ้าคุณมีความคิดในเชิงลบ รู้สึกหดหู่ใจ รู้สึกท้อแท้ใจ เกิดความวิตกกังวลว่า จะเอายังไงดีกับชีวิต โดยที่คุณนั้น ไม่พยายามมองหาโอกาส ผมขอบอกกับคุณได้เลยว่า คุณต้องเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ให้เร็วที่สุด ถ้าไม่อยากกลายเป็นคนที่ล้มเหลว ไปตลอดชีวิต
ผมเริ่มธุรกิจของผม ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งตอนนั้น ผมมองแล้วว่า สถานการณ์ไวรัสในครั้งนี้ คงจะไม่จบลงง่ายๆ ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะยังเป็นช่วงที่ยังไม่มีการระบาดร้ายแรง จนถึงขั้นวิกฤตเลยก็ตาม มันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีมากนัก ที่ผมจะเขียนหนังสือประเภท How to เล่มนี้ขึ้นมาก่อนที่ผมจะมีงานเขียน ที่มันพอจะสามารถอ้างอิงได้ว่า ผมมีหนังสือที่เป็น Best Seller อยู่หลายเล่ม เหมือนกับนักเขียนมืออาชีพส่วนใหญ่นิยมทำกัน
ความหมายคือ บทความนี้ เป็นงานเขียนแรกของผม แต่เป็นงานเขียนที่เกิดจากการลองผิดลองถูกมาแล้วมากกว่า 30 ปี ดังนั้น บทความนี้ จึงเป็นงานเขียนที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ชีวิตจริง และตรงไปตรงมา จากคนที่เคยผ่านการทำธุรกิจมาแล้วหลายอย่าง ก้าวข้ามความล้มเหลวมาแล้วมากกว่า 9 ครั้ง จนค้นพบว่า นี่เป็นหนึ่งในวิธีการของความสำเร็จ ที่จะเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวย และมั่งคั่ง ให้กับคุณได้ในอนาคต โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลา ลองผิดลองถูกเหมือนกับผม ซึ่งผมก็ใช้โอกาสในช่วงว่างงานนี้ เพื่อจะถ่ายทอด และเขียนบทความนี้ของผมให้จบ
วิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือน
บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการตลาด ชั้นนำระดับโลก ที่มีสาขาดำเนินการอยู่กว่า 50 ประเทศทั่วโลก ได้เปิดเผยถึงเทรนด์ที่จะมีผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือน เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด – 19 ไว้อย่างน่าสนใจอยู่หลายเรื่อง ดังนี้
จะมีการย้อนกลับถิ่น ของฐานการผลิตประเทศต่างๆ จะเริ่มกีดกันการค้ามากขึ้นกว่าเดิม มีความต้องการที่จะพึ่งพาตนเองมากยิ่งขึ้น โลกการค้าจะเริ่มแคบลง
อันเป็นผลมาจากการที่แต่ละประเทศนั้น พยายามที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
โดยให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่มีอยู่แล้วภายในประเทศ มากกว่าที่จะนำเข้า
รูปแบบการทำงานของคนเราจะเปลี่ยนไป ผู้คนจะเริ่มทำงานผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น โดยสังเกตจากกระแสการทำงานอยู่ที่บ้าน หรือ Work From Home (WFH) จะเริ่มได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การทำงานในอนาคต จึงไม่จำเป็นที่จะต้องถูกจำกัดไว้แค่ในออฟฟิต แต่เพียงอย่างเดียว กระแสของคนรุ่นใหม่ ที่มักจะมองหางานที่สามารถนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน หรือ Work From Home ทำให้หลายๆ องค์กรในตอนนี้ โดยเฉพาะองค์กรที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ มักที่จะมีรูปแบบของการทำงานแบบนี้ อยู่ภายในองค์กรแล้ว
รูปแบบการจ้างงานภายในองค์กรจะเปลี่ยนไป นายจ้าง จะมองหาลูกจ้างจากทักษะและความสามารถ มากกว่าที่จะจ้างงานแบบรายเดือน แล้วนำมาพัฒนาทักษะของบุคคลากรเหมือนแต่ก่อน การจ่ายค่าตอบแทนจะจ่ายเป็นรายชิ้น หรือตามค่าจ้างในแต่ละโครงการ ลักษณะการจ้างงานจะเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การจ้างงานแบบ Freelance และ Outsource เพราะแต่ละองค์กรนั้น ต้องการที่จะตัดส่วนที่ไม่มีความจำเป็นนั้นออกไป เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากนี้ ทั้งในเรื่องของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมืองภายในประเทศ รวมทั้งนโยบายบางอย่างของรัฐบาล
ทุกอย่างจะเข้าสู่รูปแบบดิจิตอล และ AI มากยิ่งขึ้น ระบบอัตโนมัติ จะเริ่มเข้ามามีบทบาท ในการดำเนินการทางธุรกิจ ทั้งในส่วนของสายการผลิต และในส่วนของการให้บริการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ อาจส่งผลทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานในบางตำแหน่ง เพราะระบบดิจิตอลนั้น สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ และบางอย่าง ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าแรงงานมนุษย์ เสียด้วยซ้ำ
การลดจำนวนลงของสถาบันการศึกษาทั่วโลก ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า มีการปิดตัวของมหาวิทยาลัยไปแล้วมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ และจำนวนนักศึกษาที่น้อยลงถึง 8 แสนคน ในขณะที่ทางฝั่งออสเตรเลีย ก็ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน โดย นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า ใบปริญญามีความจำเป็นกับพวกเขาอีกต่อไป เพราะความรู้และทักษะบางอย่างนั้น เขาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งใช้เวลาในการเรียนรู้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้ง ต่างจากการที่เขานั้น ต้องเรียนในมหาลัย เขาต้องใช้เวลาเรียนตั้งหลายปี ถึงจะได้ใบปริญญานั้นมา เพื่อที่จะได้นำไปสมัครงาน แต่เขากลับพบว่านายจ้าง เน้นคนที่ทำงานเป็น มากกว่าความรู้ที่แสดงไว้ บนใบปริญญาของพวกเขา และสุดท้าย พวกเขาก็มักจะไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่ต้องการ พวกเขาอยากใช้เวลาไปกับการค้นหาตัวเอง และได้ทำงานจริงมากกว่าการเรียนในห้องเรียน รวมถึงมีการเปิดเผยว่า คณะด้านนิเทศศาสตร์ และคณะศิลปศาสตร์ กำลังเผชิญกับวิกฤตนักศึกษาลดลงเช่นกัน
มาทางด้านเอเชียของเราบ้างครับ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีความเข้มข้นทางการศึกษาสูงอย่างประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปิดตัวของมหาวิทยาลัยไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 15 แห่งทั่วประเทศ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย จะมีความเข้มข้นมากแค่ไหน แต่ในตอนนี้ ต่างก็ต้องยอมที่จะปรับตัวใหม่ และหาจุดดึงดูดเพื่อเปิดรับนักศึกษาให้ได้มากยิ่งขึ้น เพราะอย่าลืมนะครับว่าสถานศึกษา ก็เป็นระบบธุรกิจประเภทหนึ่ง และธุรกิจก็คงจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ
❝ คุณควรที่จะมองหาโอกาส ในทุกๆ โอกาสที่มันมักจะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็น ที่จะต้องรอให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบนั้น ไม่มีในโลกของการทำธุรกิจ ❞
มาถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่างสิงคโปร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ผู้นำด้านการศึกษาแห่งอาเซียน ก็เตรียมรับมือกับวิกฤตการศึกษาในขณะนี้ โดย มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ หรือ (NUS) ได้จัดสร้าง “มหาวิทยาลัยตลอดชีวิต” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคน ได้เข้าถึงการศึกษาได้ ในทุกช่วงของวัย และก็ดูเหมือนว่า โมเดลหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ในประเทศไทย ก็ยังมีอีกหลายคณะที่ต้องปิดตัวลงไปเช่นกัน หนทางการอยู่รอดของธุรกิจการศึกษานั้น สถานศึกษาต้องมีศักยภาพมากเพียงพอที่จะให้ความรู้ หรือ ทักษะอะไรบางอย่างแก่ผู้เรียน ที่ในโลกออนไลน์นั้นให้ไม่ได้ และจะต้องให้สอดคล้องกับโลกของความเป็นจริง ที่มันได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งนานแล้ว สถาบันการศึกษา จะต้องเน้น และโฟกัสไปที่ความได้เปรียบที่คุณมี ที่โลกออนไลน์ให้ไม่ได้ เช่น มีห้องสำหรับทดลอง มีอุปกรณ์ให้ผู้เรียนใช้ รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่มันสามารถจับต้องได้ และจำเป็นจะต้องใช้ ในการฝึกฝนทักษะฝีมือ สถานศึกษา จะต้องให้ความสำคัญในเชิญปฏิบัติ มากกว่าที่จะมุ่งเน้นสอนเรื่องทฤษฎี สถานศึกษาจะต้องมองตัวเองเสมือนว่า เป็นฝ่ายสนับสนุนแก่ผู้เรียน รวมทั้งเป็นที่ปรึกษา ให้แนวทางที่ชัดเจนต่อผู้เรียน เพื่อประหยัดเวลา และสามารถนำสิ่งที่ได้จากคุณไปใช้ได้จริง โดยยึดเอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพราะอย่าลืมว่า นั่นคือลูกค้าของคุณ
องค์กรธุรกิจ มีส่วนในการรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เช่น มีโครงการเพื่อสังคมต่างๆ เกิดขึ้น การให้ความช่วยเหลือประชาชนในสภาวะฉุกเฉิน เป็นรูปแบบที่ประชาชนช่วยเหลือกันเอง จากการบริจาค โดยมีหน่วยงานภาคเอกชนเป็นสื่อกลาง ดังจะเห็นได้จากวิกฤตโควิด – 19 ที่ผ่านมา ที่แม้แต่หน่วยงานของภาครัฐ อย่างบุคคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนหน้าด่านในยามวิกฤต ประชาชนและองค์กรเอกชน ก็มีส่วนในการร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อช่วยเหลือกันเองในยามฉุกเฉิน ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์กรธุรกิจนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทในการ รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ และจะค่อยๆ กลายเป็นความคาดหวังของประชาชน มากกว่าที่จะหวังพึ่งหน่วยงานจากรัฐบาล แต่เพียงฝ่ายเดียว
การเปลี่ยนแปลงบริบททางสังคม ประชาชนเริ่มมีความหวาดกลัว ในการประกอบอาชีพ กลัวความยากจน กลัวการไม่มีงานทำ กลัวความไม่แน่นอน กลัวความไม่มั่นคง ในหน้าที่การงาน และตระหนักในเรื่องนี้ มากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เพราะระบบต่างๆ หลังจากนี้ จะยังมีความไม่แน่นอน และยังคงคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แต่มีแนวโน้ม ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ จะถูกขับเคลื่อนด้วยการจ้างงานแบบชั่วคราว มากกว่าการจ้างงาน แบบรายเดือน หรือ ที่เรียกกันว่า รูปแบบ GIG Economy มากยิ่งขึ้น คนที่มีทางเลือกในชีวิตแค่ทางเดียว จะมีความกังวลใจเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนั้น จะยังมีงานทำอยู่ก็ตาม คนจะเริ่มมองหาโอกาส และแผนสำรองในชีวิต มากกว่าการทำงานประจำ และใช้จ่ายเงินไปวันๆ เหมือนแต่ก่อน
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่มันได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าหลายคน ไม่ให้ความสนใจ หลายคน ไม่ให้ความสำคัญ เพราะมองว่า มันยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวจนเกินไป
(ข้อมูลอ้างอิงจาก : กรุงเทพธุรกิจ)
บทเรียนจากโควิด – 19 ในครั้งนี้ มันคงพอที่จะช่วยทำให้ความเป็นจริงของโลก เด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อทุกอย่างหยุดซะงัก ทำให้เราได้มีเวลาหันมองดูตัวเอง มีเวลาคิดทบทวนกับสิ่งที่มันได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว บนโลกใบนี้ เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว ทำให้หลายคนนั้น ไม่มีเวลาที่จะตัดสินใจนาน ไม่มีเวลาแม้ที่จะพูดคำว่า “เดี๋ยวค่อยทำ” ในมุมมองของผมนั้น ผมกลับมองว่า นี่คือสัญญาณที่ดี ที่จะทำให้เรารู้ว่าโลกใบนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด ถ้าเรามัวแต่ยึดเอาความเชื่อเดิมๆ คุณก็จะเดินไม่ทันคนอื่น และในที่สุด คุณก็จะหายไปจากพื้นที่ที่คุณเคยยืน ถ้าคุณยังไม่เริ่มที่จะปรับตัว
IF I WERE TO TEACH MY CHILDREN
ถ้าผมจะสอนลูก โดย My Mister K.
อันดูโด้ (ประเทศไทย)
andudo.