กรณีศึกษา : ทำอย่างไรให้ไฟล์มิดี้ เมื่อนำไปใช้กับโปรแกรมคาราโอเกะ เสียงจะได้เพราะ น่าฟัง
FLAT MIDI มาตรฐานการสร้างมิดี้ของเรา
MIDI มิดี้ คืออะไร
MIDI (Musical Instrument Digital Interface) คือ รูปแบบไฟล์ ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลของเครื่องดนตรี สังเคราะห์ คือ ไม่ใช่เสียงจริง ๆ ไฟล์ MIDI จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวโน้ตของ เครื่องดนตรี เวลาในการเล่น ความดังของเสียง และข้อมูลควบคุมอื่น ๆ ที่ใช้ในการสั่งเครื่องดนตรี หรือซอฟต์แวร์ ให้สร้างเสียงตามที่กำหนด คล้าย ๆ กับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นั่นเอง
ไฟล์ MIDI มีความยืดหยุ่นมาก เพราะสามารถใช้กับเครื่องดนตรีหลายชนิด และปรับแต่งเสียงได้ง่าย อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับไฟล์เสียงรูปแบบอื่น ๆ เช่น .MP3 หรือ .WAV
ผู้คิดค้น
MIDI (Musical Instrument Digital Interface) ถูกคิดค้นโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในวงการดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 โดยมี Dave Smith เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนามาตรฐาน MIDI เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Sequential Circuits และได้ร่วมมือกับบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมา
MIDI ถูกนำเสนอครั้งแรกในปี 1983 และได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเชื่อมต่อเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ซินธิไซเซอร์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ในสตูดิโอ เพื่อให้สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ความดัง และ ตำแหน่งของเสียง
ไฟล์ MIDI เองไม่เก็บข้อมูลเสียงโดยตรง แต่สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องดนตรีหรือซอฟต์แวร์ที่สร้างเสียงจากข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ MIDI ได้ ซึ่งรวมถึงการจัดการ Pan (การกระจายเสียงซ้ายขวา) และ Volume (ความดัง)
Pan : MIDI มีข้อมูลที่เรียกว่า Control Change ที่สามารถใช้สำหรับควบคุมการกระจายเสียงไปทางซ้ายหรือขวา โดยใช้ค่า Control Change หมายเลข 10
Volume : MIDI มีการควบคุมความดังผ่าน Control Change หมายเลข 7 ซึ่งจะกำหนดระดับความดังของเสียง
ข้อมูลเหล่านี้ จะถูกส่งไปยังเครื่องดนตรี หรือซอฟต์แวร์ที่เล่นไฟล์ MIDI เพื่อให้มันสามารถปรับเปลี่ยนการกระจายเสียงและความดังตามที่กำหนดได้
Control Change คืออะไร
Control Change (CC) เป็นฟีเจอร์ในโปรโตคอล MIDI ที่ใช้เพื่อควบคุมการตั้งค่าและพารามิเตอร์ต่างๆ ของเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์หรือซอฟต์แวร์ดนตรี ใน MIDI, Control Change ถูกส่งในรูปแบบของข้อความ MIDI ที่มีสองค่า :
Control Change Number (หมายเลขการควบคุม) : ใช้เพื่อระบุว่าคุณกำลังควบคุมพารามิเตอร์ใด ตัวอย่างเช่น หมายเลข 7 ใช้สำหรับควบคุมระดับความดัง (Volume), หมายเลข 10 ใช้สำหรับการกระจายเสียง (Pan).
Value (ค่า) : เป็นค่าที่กำหนดสำหรับพารามิเตอร์ที่เลือก เช่น ค่า 0-127 สำหรับระดับความดัง หรือค่า -64 ถึง +63 สำหรับการกระจายเสียง.
การใช้ Control Change ทำให้สามารถปรับการตั้งค่าต่างๆ ในช่วงเวลาที่เพลงเล่นอยู่ ซึ่งช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการเสียงและประสิทธิภาพของเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์
ค่ามาตรฐาน หรือ ค่า Flat ของ Pan และ Volume ควรกำหนดไว้ที่เท่าไหร่
สำหรับการควบคุม Pan และ Volume ผ่าน MIDI :
Volume (Control Change Number 7):
ค่ามาตรฐานโดยทั่วไปจะเป็นค่า 64 ซึ่งถือเป็นระดับความดังปกติหรือตั้งต้น (Default Volume) ซึ่งหมายถึงระดับความดังที่ไม่เพิ่มหรือล
ค่า 0 หมายถึงความดังที่ต่ำสุด (ไม่มีเสียง)
ค่า 127 หมายถึงความดังที่สูงสุด
แต่ค่า Flat ของ Volume ในโปรแกรม คาราโอเกะ ส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ 100 คือ มีการบูทความดังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากค่ามาจรฐานของมิดี้ หากเราตั้งค่าความดังไว้ที่ 64 เมื่อนำไปใช้งานร่วมกับมิดี้ของเจ้าอื่น จะมีปัญหาความดังเบาได้
Pan (Control Change Number 10):
ค่ามาตรฐานโดยทั่วไปจะเป็นค่า 64 ซึ่งถือเป็นการกระจายเสียงไปที่กลาง (Center) หรือตำแหน่งกลางระหว่างซ้ายและขวา
ค่า 0 หมายถึงการกระจายเสียงทั้งหมดไปทางซ้าย
ค่า 127 หมายถึงการกระจายเสียงทั้งหมดไปทางขวา
การตั้งค่ามาตรฐานเหล่านี้จะทำให้เสียงเริ่มต้นในตำแหน่งกลางและระดับความดังที่ปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการปรับแต่งต่อไป
ค่าเริ่มต้น ทำไม่ใช่ 50
ค่า Pan ใน MIDI ใช้ช่วง 0-127 ซึ่งค่า 64 เป็นค่าที่กำหนดตำแหน่งกลาง (Center) ของการกระจายเสียง โดยที่:
- ค่า 0 หมายถึงการกระจายเสียงไปที่ซ้ายสุด
- ค่า 127 หมายถึงการกระจายเสียงไปที่ขวาสุด
ค่า 50 ที่อาจมาจากมาตรฐานของบางซอฟต์แวร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้ช่วง 0-100 หรือมาตรฐานที่ต่างออกไป ซึ่งหมายถึงการกระจายเสียงที่ใกล้เคียงกลาง แต่ในมาตรฐาน MIDI ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ค่า 64 จะใช้เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับตำแหน่งกลาง
ในทางทฤษฎีเสียง การตั้งค่าความดังสูงสุด (เช่น ค่า 127 ใน MIDI) อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องคลิปปิงหรือการบูต (clipping) หากระดับสัญญาณเกินความสามารถของระบบเสียงหรือซาวด์ฟ้อนท์ที่ใช้
สิ่งที่ควรพิจารณา
ซาวด์ฟ้อนท์ (Soundfont) : ซาวด์ฟ้อนท์มีการตั้งค่าความดังที่แตกต่างกัน และหากค่าความดังจาก MIDI สูงเกินไป ซาวด์ฟ้อนท์อาจไม่สามารถรองรับระดับเสียงสูงสุดได้ ทำให้เกิดคลิปปิง
การควบคุมความดัง : แม้ว่า MIDI สามารถส่งค่า Volume สูงสุดถึง 127 แต่การควบคุมความดังที่ถูกต้องคือการปรับระดับความดังให้เหมาะสมกับความสามารถของซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ฟังเสียงและปรับลดความดังหากจำเป็นเพื่อลดปัญหาการคลิปปิง
การเพิ่ม (Boost) และ การลด (Cut) : ในการจัดการระดับเสียง อาจดีกว่าที่จะลดระดับเสียงลงหากมีปัญหาการคลิปปิงแทนที่จะบูตระดับเสียงสูงสุด เนื่องจากการบูตอาจทำให้ปัญหาเสียงแตกได้ง่าย
การใช้ค่า 127 สำหรับ Volume ใน MIDI อาจทำให้เกิดปัญหาหากซาวด์ฟ้อนท์หรือระบบเสียงไม่สามารถจัดการได้ดี ดังนั้นการปรับลดระดับเสียง (Cut) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าเพื่อลดปัญหาคลิปปิง
FLAT MIDI คืออะไร
แฟลท มิดี้ คือ มาตรฐานในการสร้างไฟล์ มิดี้ ของเรา คุณสามารถดูคลิปวิดีโอนี้ แล้วเทียบถึงความแตกต่าง ระหว่าง ไฟล์มิดี้ทั่วไป (Normal Midi) กับ แฟลทมิดี้ (Flat Midi)
ไฟล์มิดี้ทั่วไป (Normal Midi)
แฟลทมิดี้ (Flat Midi) คือ การตั้งค่าไฟล์ MIDI ให้เป็นค่ากลาง (เช่น ความดัง และการ Pan ที่ค่ามาตรฐาน) เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งซาวด์ฟ้อนท์ของตนเองได้ง่ายขึ้น
นี่คือข้อดี ของไฟล์ประเภทนี้
1. ความสม่ำเสมอ :
การใช้ค่ากลางในไฟล์ MIDI ช่วยให้การเล่นเสียงมีความสม่ำเสมอ เมื่อใช้กับซาวด์ฟ้อนท์ที่หลากหลาย โดยลดปัญหาที่อาจเกิดจากการตั้งค่าที่แตกต่างกัน
2. ความยืดหยุ่น :
ลูกค้าสามารถปรับแต่งความดัง และการ Pan ตามความต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการปรับแต่งไฟล์ MIDI เพิ่มเติม เพราะมันเป็นค่ากลาง หรือ Flat อยู่แล้ว
3. การจัดการที่ง่าย :
เมื่อไฟล์ MIDI มีค่ากลาง ลูกค้าจะพบว่า การปรับแต่งซาวด์ฟ้อนท์ เป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะท่านสามารถควบคุม การปรับแต่งที่สำคัญได้ ในซาวด์ฟ้อนท์ โดยตรง
4. ลดความยุ่งยาก :
ลดความยุ่งยากในการปรับแต่ง ไฟล์ MIDI ให้เข้ากันกับซาวด์ฟ้อนท์ของท่าน เนื่องจากค่ามาตรฐานกลาง ทำให้การปรับแต่งที่จำเป็นน้อยลง ให้ท่านไปโฟกัสที่ ซาวด์ฟ้อนท์ 100%
ข้อเสียของ Flat Midi
การขาดความหลากหลาย : แม้ซาวด์ฟ้อนท์ สามารถปรับค่าความดัง และการ Pan ได้ การใช้ค่ากลางในไฟล์ MIDI อาจทำให้การแสดงออกของเสียงไม่เต็มที่ หรือไม่ตรงตามความตั้งใจของผู้สร้างดนตรี นั่นคือ ขาดความละเอียดในการปรับแต่ง ที่สามารถเพิ่มมิติ และคุณภาพเสียง
การควบคุมที่จำกัด : การตั้งค่าค่ากลางในไฟล์ MIDI อาจทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพของซาวด์ฟ้อนท์ได้อย่างเต็มที่ ซาวด์ฟ้อนท์ที่มีการตั้งค่าพิเศษ หรือการควบคุมที่หลากหลายอาจไม่ถูกใช้งานอย่างเต็มที่หากไฟล์ MIDI ไม่ให้ค่าที่เหมาะสม
เปิดฟังโดยไม่ผ่านซาวด์ฟ้อนท์ : เสียงจะไม่มีมิติ แห้ง ๆ ไม่ไพรเราะ ก็คงไม่มีใครนำไฟล์มิดี้ ไปเปิดร้องเพียว ๆ โดยไม่ผ่านโปรแกรมเล่นคาราโอเกะ หรือ ไม่ผ่านซาวด์ฟ้อนท์หรอกนะครับ
แต่ข้อเสียที่กล่าวมา ท่านสามารถปรับแต่งเพิ่มเติม ในโปรแกรมคาราโอเกะของท่านได้ ศึกษาการแยกไลน์ การ Pan การใส่ เอฟเฟค ในโปรแกรมคาราโอเกะของท่านได้