เวอร์ชั่น 1.0.4

คู่มือ การมิกซ์เสียงมิดี้
ด้วยซาวด์ฟ้อนท์ Mixx Pro Flat 2025 (ฉบับมืออาชีพ)

ในยุคปัจจุบัน การทำเพลงและคาราโอเกะได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งโปรแกรม eXtreme Karaoke 3.0 ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเพลิดเพลินกับการร้องเพลงและสร้างเสียงดนตรีเองผ่านไฟล์ MIDI ที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเสียง สำหรับมือใหม่และมืออาชีพ การมิกซ์เสียง MIDI ในโปรแกรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสมจริงและคุณภาพเสียงของเพลง แต่ยังช่วยให้คุณสร้างเสียงดนตรีที่โดดเด่นตามสไตล์ที่ต้องการ

บทความนี้จะพาคุณก้าวลึกเข้าสู่โลกของการมิกซ์เสียง MIDI ในโปรแกรม eXtreme Karaoke 3.0 อย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การตั้งค่าพื้นฐาน การเลือกเครื่องดนตรี การปรับแต่งเอฟเฟกต์ ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงที่จะช่วยให้เสียงดนตรีของคุณเปล่งประกายและโดดเด่นในทุกการเล่น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักดนตรีสมัครเล่นหรือผู้ที่ต้องการยกระดับการมิกซ์เสียงให้เป็นงานมืออาชีพ บทความนี้จะเป็นคู่มือสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด

ทำความรู้จักกับ eXtreme Karaoke 3.0 ฮาร์ดล็อค

มีหลายคน ที่ยังไม่รู้จักเลยว่า ฮาร์ดล็อค คืออะไร ฮาร์ดล็อค เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่ใช้ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ โดยฮาร์ดแวร์นี้ (มักจะเป็นอุปกรณ์ USB หรือการ์ดเฉพาะ) จะต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกล็อคได้

โปรแกรม eXtreme Karaoke ตั้งแต่เวอร์ชั่น 3 ขึ้นไป จะต้องใช้ ฮาร์ดล็อค ในการเปิดใช้งาน ลักษณะคล้าย แฟลชไดร์ฟ แต่ไม่ใช่ จะต้องเสียบไว้ที่คอมก่อน ถึงจะสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมได้ สำหรับใครที่ดาวน์โหลดมาฟรีจากอินเตอร์เน็ต จะเป็น eXtreme Karaoke เวอร์ชั่น 2 ทั้งหมด ซึ่งหยุดพัฒนาแล้ว

ดังนั้น ถ้าท่านใช้ eXtreme Karaoke เวอร์ชั่น 2 ไม่มีฮาร์ดล็อค บทความนี้ ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาอ่าน นอกเสียจากว่า คุณกำลังสนใจที่จะใช้ eXtreme Karaoke เวอร์ชั่น 3 ฮาร์ดล็อค ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่าย ในการซื้อโปรแกรมลิขสิทธิแท้ ถึงจะสามารถทำตามบทความนี้ได้ นั่นเอง

ซาวด์ฟ้อนท์ที่ใช้

โดยในบทความนี้ ผมจะใช้ ซาวด์ฟ้อนท์ MIXX PRO FLAT 2025 เป็นตัวปรับแต่งเสียงเริ่มต้น (โดยไม่พลาดพิงถึงซาวด์ฟ้อนท์ตัวอื่นๆ)
สำหรับใครที่ชอบแนวเสียงของซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ ก็สามารถสนับสนุนเราได้

เตรียมพร้อม ก่อนเริ่มมิกซ์เสียง

ขั้นตอนที่ 1 : รีเชตโปรแกรมเป็นค่าเริ่มต้นทั้งหมด

ค่าเริ่มต้น จะเป็น ค่ามาตรฐาน ของโปรแกรมคาราโอเกะ ที่ยังไม่ได้ปรับแต่งค่าใด ๆ

ข้อสังเกตุ เมื่อโปรแกรมเป็นค่าเริ่มต้น

ถ้าใช้กับมิดี้ที่มีการใส่ค่า CC มา (สามารถพบเห็นได้ทั่วไป) : โปรแกรมจะอ่านค่า ระดับความดัง ค่าเอฟเฟค และ ค่าอื่นๆ มาจากไฟล์มิดี้

ส่งผลให้ บางชิ้นดนตรี มีเสียงดัง หรือ เบากว่าชิ้นอื่นๆ เอฟเฟค ล้น และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

ทำให้เวลานำไปเล่น มันควบคุมยากเพราะผู้ทำมิดี้ ต่างคนต่างใส่ค่าต่างๆ มาไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถปรับแต่งเสียงออกมา ให้เท่ากันทุกเพลง

แต่ ถ้าใช้กับ Flat MIDI : โปรแกรมจะอ่านค่าเสียงจากซาวด์ฟ้อนท์ ทำให้ได้เสียงตรงตามที่ผู้พัฒนาซาวด์ฟ้อนท์ ปรับแต่งไว้ 100%

มีอะไรให้แก้ที่ซาวด์ฟ้อนท์ และ ใช้มิกซ์ในโปรแกรม eXtreme Karaoke ปรับ เพื่อให้เข้ากับชุดเครื่องเสียง สภาพอากาศ สภาพแวดล้อม อิงจากหน้างาน อย่างที่ดนตรีสดเขาทำกัน ดังนั้น มิดี้ เปรียบเสมือนนักดนตรี จะต้องเล่นให้สะอาดที่สุด ไม่จำเป็น อย่าใส่ค่าใด ๆ ลงไป

สามารถหา ไฟล์ แฟลทมิดี้ (Flat MIDI) ได้ที่

แล้วถ้าไม่ใช้กับ ไฟล์ แฟลทมิดี้ (Flat MIDI) ล่ะ ได้ไหม คำตอบคือ ได้ แต่คุณจะมิกซ์ไม่จบไม่สิ้นสักที ทางแก้คือ ใช้โปรแกรม eXtreme Karaoke ล็อคค่าเสียงเอาไว้ให้ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้น ดังเท่ากันทุกเพลง แต่ มิติของเสียงดนตรีที่ได้จากซาวด์ฟ้อนท์จะหายไปทันที

ขั้นตอนที่ 2 : โหลดไฟล์ตั้งค่า .cfg ที่มากับซาวด์ฟ้อนท์

ไฟล์นี้เป็น ไฟล์ตั้งค่าโปรแกรม ที่ผู้พัฒนาซาวด์ฟ้อนท์ แนะนำ หลัก ๆ จะเป็นค่าเอฟเฟค การปรับอีคิว รวมทั้งการแยกไลน์ชิ้นดนตรีในโปรแกรม eXtreme Karaoke

คุณจะได้โปรแกรม ที่มีการตั้งค่าเหมือนกับ เครื่องของผู้พัฒนาซาวด์ฟ้อนท์ ที่ผู้พัฒนแนะนำ

ถามว่า สามารถนำไปใช้จริงได้ไหม คำตอบคือ ใช้เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น คือ

หากคุณยังรู้สึกว่า กระเดื่องเบาหรือดังเกินไป เมื่อนำไปเปิดกับชุดเครื่องเสียงที่ต่างกัน คุณสามารถใช้มิกซ์ในโปรแกรม eXtreme Karaoke เพื่อเพิ่มระดับความดังเบา ของชิ้นดนตรีแต่ละได้ ซึ่งคุณสามารถศึกษา ได้จากบทความนี้ ถ้าคุณกำลังใช้ซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้อยู่

ขั้นตอนที่ 3 : เริ่มมิกซ์เสียงมิดี้ด้วยซาวด์ฟ้อนท์ MIXX PRO FLAT 2025

มีลูกค้าหลายท่านสอบถามมาว่า ตกลงเรามีซาวด์ฟ้อนท์กี่ตัว ในคลิปทำไมเสียงไม่เหมือนกัน

มีตัวเดียวครับ แต่ ขึ้นอยู่กับการมิกซ์เสียง ในคลิปตัวอย่าง แต่ละคลิป ผู้พัฒนาได้มีการมิกซ์เสียงที่แตกต่างกัน เพื่อความหลากหลาย และใช้ประกอบการตัดสินใจของลูกค้าได้ง่ายขึ้น

เพื่อสื่อให้เห็นว่า คุณสามารถมิกซ์เสียงออกมาในสไตล์ของคุณเองได้ โดยใช้ซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้เพียงตัวเดียว

ตอบคำถาม :
Q : ทำไมเสียงของชิ้นดนตรีบางชิ้น ไม่ค่อยใสเคลียร์ เหมือนเจ้าอื่น ๆ

A : เป็นแนวคิดของผู้พัฒนาครับ ข้อสังเกตุ ดนตรีสด เวลามิกซ์เสียงออกมา ชิ้นดนตรีก็ไม่ได้ใส เคลียร์ขนาดนั้นครับ ในทางกลับกันถ้า ชิ้นดนตรีมันมีความเคลียร์มากเกินไป มันจะทำให้เสียงที่ออกมาโดยรวม แปล่ง ๆ เหมือนหุ่นยนต์ เพราะมันเป็นข้อจำกัดของมิดี้ เสียงได้แต่สำเนียงไม่ใช่ และเมื่อนำไปร้องมันจะไม่ค่อยกลมกลืนกับเสียงร้องสักเท่าไหร่ ลองสังเกตุดูครับ

เริ่มจูนระบบเครื่องเสียง

เหตุผล ที่ควรจูนระบบเครื่องเสียงด้วยพิงค์นอยส์ในบางกรณี

การแสดงสดหรือในห้องที่ไม่คุ้นเคย : หากคุณต้องมิกซ์เสียง MIDI กับเครื่องเสียงในห้องหรือสถานที่ใหม่ เช่น ในงานแสดงสด ห้องคอนเสิร์ต หรือในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย พิงค์นอยส์ช่วยในการตรวจสอบว่าระบบเสียงและลำโพงตอบสนองต่อทุกความถี่ได้ดีหรือไม่ และปรับแต่งให้เหมาะสมกับอะคูสติกของสถานที่นั้น

การใช้งานระบบเสียงขนาดใหญ่ : เมื่อคุณต้องจัดการกับระบบเสียงที่มีลำโพงหลายตัวหรือซับวูฟเฟอร์ พิงค์นอยส์จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่ง EQ และเช็กความสมดุลของเสียงเพื่อให้การมิกซ์เสียง MIDI ออกมาได้ยินชัดเจนและสมดุลทุกย่านความถี่

ป้องกันปัญหาความถี่ที่เบาหรือดังเกินไป : การจูนด้วยพิงค์นอยส์ก่อนมิกซ์ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาเสียงเบลอหรือเสียงบางย่านที่โดดเด่นมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้มิกซ์เสียง MIDI ของคุณฟังไม่สมดุล

ขั้นตอนการจูนเครื่องเสียงด้วยพิงค์นอยส์

การจูนระบบเครื่องเสียงด้วย พิงค์นอยส์ (Pink Noise) เป็นกระบวนการที่ช่วยปรับแต่งเสียงให้สมดุลและเหมาะสมกับอะคูสติกของห้องหรือสถานที่ ซึ่งใช้ในการตรวจสอบและปรับแต่งการตอบสนองของลำโพงในย่านความถี่ต่าง ๆ ขั้นตอนในการจูนเครื่องเสียงด้วยพิงค์นอยส์มีดังนี้ :

ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น

พิงค์นอยส์เจนเนอเรเตอร์ (Pink Noise Generator) หรือไฟล์เสียงพิงค์นอยส์ (สามารถหาได้จากซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการเสียงพิงค์นอยส์)

เครื่องวัดความถี่เสียง (Spectrum Analyzer) หรือ Real-Time Analyzer (RTA) ที่ใช้วิเคราะห์เสียงในสถานที่

ไมโครโฟนที่ตอบสนองทุกย่านความถี่ (เช่น ไมโครโฟนคาลิเบรชัน) เพื่อวัดค่าความถี่เสียงในห้องหรือพื้นที่

ชุดเครื่องขยายเสียง (Amplifier) และ ตู้ลำโพง ที่ต้องการจูน

ขั้นตอนที่ 2 : ตั้งตำแหน่งลำโพงและไมโครโฟนคาลิเบรชัน

● วางลำโพงในตำแหน่งที่ต้องการใช้งาน เช่น สำหรับงานแสดงสด คอนเสิร์ต หรือห้องบันทึกเสียง

● วางไมโครโฟนคาลิเบรชันในจุดที่เสียงจะถูกฟัง (เช่น บริเวณที่ผู้ฟังหรือมิกซ์เสียงอยู่) ให้ห่างจากลำโพงในตำแหน่งที่สมดุลและครอบคลุมพื้นที่รับเสียง

ขั้นตอนที่ 3 : เปิดสัญญาณพิงค์นอยส์

● เล่นเสียงพิงค์นอยส์ผ่านระบบลำโพงที่ต้องการจูน (ใช้โปรแกรมหรือฮาร์ดแวร์ที่มีเสียงพิงค์นอยส์)

● เปิดพิงค์นอยส์ในระดับเสียงที่พอเหมาะ ไม่ดังเกินไปเพื่อป้องกันการเสียหายของลำโพง แต่ควรดังพอให้สามารถได้ยินในทุกมุมของห้องหรือสถานที่

ขั้นตอนที่ 4 : ใช้ Spectrum Analyzer หรือ Real-Time Analyzer (RTA) เพื่อวัดความถี่

● ใช้เครื่องมือวัดเสียงหรือซอฟต์แวร์ RTA เพื่อตรวจสอบการตอบสนองของระบบลำโพง โดยเครื่องมือจะวิเคราะห์เสียงพิงค์นอยส์ที่เล่นผ่านลำโพงและแสดงผลการตอบสนองในย่านความถี่ต่าง ๆ (กราฟความถี่)

● ตรวจสอบดูว่าแต่ละย่านความถี่มีความสมดุลหรือไม่ กราฟที่ได้จากการวัดควรจะเป็นเส้นที่ราบเรียบ หากมีความถี่ใดโดดเด่นมากหรือน้อยเกินไป จะปรากฏให้เห็นชัดเจนบนกราฟ

ไมโครโฟนที่ตอบสนองทุกย่านความถี่ (เช่น ไมโครโฟนคาลิเบรชัน) เพื่อวัดค่าความถี่เสียงในห้องหรือพื้นที่

ชุดเครื่องขยายเสียง (Amplifier) และ ตู้ลำโพง ที่ต้องการจูน

ขั้นตอนที่ 5 : ปรับ EQ (Equalizer) หรือ DSP (Digital Signal Processor)

● ใช้ EQ เพื่อปรับแต่งความถี่ที่เบาหรือดังเกินไปในระบบลำโพง หากกราฟแสดงความถี่บางย่านที่โดดเด่นมากเกินไป สามารถลดความถี่เหล่านั้นด้วย EQ หรือเพิ่มในย่านที่ขาดหายไปเพื่อให้การตอบสนองของระบบลำโพงสมดุล

● บางครั้งอาจใช้ DSP ที่มีฟังก์ชันเฉพาะสำหรับปรับแต่งเสียงในระบบเพื่อช่วยปรับแต่งความถี่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ขั้นตอนที่ 6 : ทดสอบฟัง

● หลังจากปรับแต่ง EQ และตรวจสอบกราฟ RTA ให้ทดสอบฟังเสียงในพื้นที่จริงเพื่อดูว่าความถี่ทั้งหมดฟังดูสมดุลและมีคุณภาพเสียงที่ต้องการหรือไม่

● ย้ายตำแหน่งการฟังหรือเดินไปรอบ ๆ ห้องเพื่อตรวจสอบว่าการกระจายเสียงดีหรือไม่ในทุกพื้นที่ของห้อง

ผลลัพธ์

เมื่อผ่านถึงขั้นตอนนี้ เราจะได้ ระบบทุกอย่างที่พร้อมสำหรับการมิกซ์เสียงมิดี้ ประกอบด้วย ไฟล์มิดี้ที่มีค่าแฟลท โปรแกรมที่มีค่าแฟลท และ ชุดเครื่องเสียงที่แฟลท นั่นเอง สำหรับข้อแนะนำที่ผมใช้ประจำ ให้คุณลองหาไฟล์ที่เป็น Reference มาทดสอบ หรือ ใช้เป็นตัวอย่างในการมิกซ์เสียง มาเปิดกับระบบเครื่องเสียงที่คุณได้จูนระบบเสร็จแล้ว

เริ่มมิกซ์ชิ้นดนตรี

ในซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ ผู้พัฒนาได้ทำการปรับแต่ง และมิกซ์เสียงไฟล์แชมป์เสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมาให้แล้ว แต่เมื่อนำไปเปิดกับชุดเครื่องเสียงที่ต่างกัน รวมทั้ง สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน อาจทำให้เสียงที่ได้ ไม่เป็นไปตามที่ผู้พัฒนาต้องการ หลักการต่อไปนี้ คุณสามารถนำไปปรับปรุงเพื่อให้ได้ซาวด์ตามที่คุณต้องการได้

โดยเริ่มจากชุดกลอง ประกอบด้วย กระเดื่อง สะแนร์ ทอม ไฮแฮท แฉร์ คาเบล ตามลำดับ โดยการใช้มิกซ์ของโปรแกรม eXtreme Karaoke ปรับความดังเบาได้ตามต้องการ

ย่านความถี่ในการ EQ ชิ้นดนตรีที่สำคัญ

ชุดกลอง (Drum Set)

Bus Group 1 กระเดื่อง (Kick Drum)

ความถี่ของกระเดื่อง (Kick Drum) ในการปรับ EQ มักจะอยู่ในช่วงความถี่ต่อไปนี้ :

ความถี่ต่ำ (Sub-bass) : ประมาณ 20 – 60 Hz เพื่อเสริมความลึกและน้ำหนักของกระเดื่อง

ความถี่กลาง-ต่ำ (Low-Mid) : ประมาณ 60 – 150 Hz สำหรับการเน้นความแน่นและพลังของเสียงกระเดื่อง

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 200 – 400 Hz อาจต้องลดลงเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงที่อู้หรือไม่ชัดเจน

ความถี่สูง (High-Mid) : ประมาณ 3,000 – 5,000 Hz เพื่อให้ได้ความชัดเจนและเสียงกระแทกจากกระเดื่อง

Bus Group 2 สแนร์ (Snare Drum)

ความถี่ของสแนร์ (Snare Drum) ในการปรับ EQ มักจะอยู่ในช่วงความถี่ต่อไปนี้ :

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 250 Hz เพื่อเสริมความแน่นและน้ำหนักของเสียงสแนร์

ความถี่กลาง-ต่ำ (Low-Mid) : ประมาณ 250 – 500 Hz อาจต้องลดลงหากเสียงอู้หรือทึบเกินไป

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 500 – 1,500 Hz เพื่อให้เสียงสแนร์มีความหนาและพลัง

ความถี่กลาง-สูง (High-Mid) : ประมาณ 2,000 – 5,000 Hz สำหรับความชัดเจนและเสียงการตีจากไม้กลอง

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 5,000 – 10,000 Hz เพื่อเพิ่มความแหลมของเสียงสแนร์และเสียงเสียดสาก (snare wire)

Bus Group 3 ทอม (High Tom, Mid Tom, Low/Floor Tom)

ในการปรับ EQ สำหรับทอม 1, ทอม 2, และทอม 3 (หรือที่เรียกว่า high tom, mid tom, low/floor tom) มักจะมีช่วงความถี่ที่แตกต่างกันตามขนาดและความลึกของกลองแต่ละใบ โดยปกติจะอยู่ในช่วงความถี่ต่อไปนี้ :

ทอม 1 (High Tom)

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 200 Hz เพื่อเพิ่มความแน่นและน้ำหนักของเสียง

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 400 – 800 Hz เพื่อให้ได้เสียงชัดเจน

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 3,000 – 6,000 Hz สำหรับเสียงการตีและความชัดเจนของไม้กลอง

ทอม 2 (Mid Tom)

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 80 – 150 Hz เพื่อเสริมความลึกและน้ำหนัก

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 300 – 700 Hz สำหรับความหนาและความชัดเจน

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 2,000 – 5,000 Hz เพื่อเพิ่มความชัดของเสียงตี

ทอม 3 หรือ ฟลอร์ทอม (Low/Floor Tom)

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 60 – 120 Hz เพื่อเพิ่มน้ำหนักและความลึกของเสียง

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 200 – 500 Hz สำหรับเสียงหนา

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 2,000 – 4,000 Hz เพื่อความชัดเจนและเสียงการตี

Bus Group 4 การมิกซ์ ไฮแฮท (HiHat)

ในการปรับ EQ สำหรับ Hi-hat มักจะเน้นความถี่สูงเพื่อให้ได้เสียงที่คมชัด โดยความถี่ของ Hi-hat จะอยู่ในช่วงต่อไปนี้

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 200 – 400 Hz อาจลดลงเพื่อตัดเสียงที่ไม่ต้องการหรือเสียงที่ทำให้เสียง Hi-hat อู้เกินไป

ความถี่กลาง-ต่ำ (Low-Mid) : ประมาณ 500 – 1,000 Hz สามารถลดลงหากทำให้เสียงทึบหรือมีเสียงไม่พึงประสงค์

ความถี่กลาง-สูง (High-Mid) : ประมาณ 2,000 – 4,000 Hz เพื่อเพิ่มความชัดเจนของเสียงการตี

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 8,000 – 12,000 Hz สำหรับเสียงแหลมใสและความคมชัดของ Hi-hat

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 12,000 – 16,000 Hz เพื่อให้เสียง Hi-hat มีความแวววาวและเสียดสาก

Bus Group 5 แฉร์ต่างๆ (China, Ride)

ในการปรับ EQ สำหรับแฉประเภทต่าง ๆ เช่น China, Ride, และแฉอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับลักษณะของแฉแต่ละชนิด แต่โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงความถี่ต่อไปนี้

China Cymbal

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 300 Hz อาจลดลงเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงทึบหรือเสียงที่ไม่พึงประสงค์

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 400 – 800 Hz ช่วยเสริมความหนาของเสียง แต่บางครั้งอาจต้องลดลงหากทำให้เสียงไม่คมชัด

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 5,000 – 10,000 Hz สำหรับความแหลมและเสียงการตีที่คมชัด

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 10,000 – 16,000 Hz เพื่อเสริมเสียงเสียดสากและแวววาวของแฉ China

Ride Cymbal

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 300 Hz ควรลดหรือตัดออกเพื่อลดเสียงอู้หรือทึบ

ความถี่กลาง (Midrange): ประมาณ 400 – 1,000 Hz ช่วงนี้สำคัญสำหรับเสียงความหนาของการตี โดยเฉพาะเสียงการตีตรงกลางแฉ

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 4,000 – 8,000 Hz เพื่อเสริมเสียงการตีของไม้กลองและความชัดเจนของ Ride

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 8,000 – 12,000 Hz เพื่อเสริมเสียงแวววาวของ Ride และเสียงชัดเจนของการตีบริเวณขอบแฉ (cymbal edge)

Crash และ Splash Cymbal

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 200 – 400 Hz อาจต้องลดเพื่อลดเสียงทึบที่ไม่จำเป็น

ความถี่กลาง (Midrange): ประมาณ 500 – 1,500 Hz เพื่อความชัดเจนและการปรากฏของเสียงแฉ

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 5,000 – 10,000 Hz สำหรับเสียงที่คมชัดและเสียงการตีที่ฟุ้งกระจาย

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 10,000 – 16,000 Hz สำหรับความแวววาวและเสียดสากของแฉ

แฉทุกประเภทจะมีความถี่หลักอยู่ในช่วง สูง (5,000 – 16,000 Hz) เพื่อเสริมความชัดเจนและความแหลม

การลดความถี่ กลาง-ต่ำ (200 – 400 Hz) และ กลาง (400 – 800 Hz) จะช่วยลดเสียงอู้หรือเสียงทึบที่ไม่ต้องการ

Bus Group 6 คาเบล (Cabal) และ กลองบองโก (Bongo Drums)

การปรับ EQ สำหรับเครื่องดนตรีที่มีเสียงเฉพาะอย่าง คาเบล (Cabal) และ กลองบองโก (Bongo Drums) มักจะเน้นไปที่ช่วงความถี่เฉพาะของแต่ละเครื่องดนตรีเพื่อให้เสียงมีความคมชัดและพอดีกับมิกซ์เพลง ดังนี้

คาเบล (Cabal)

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 300 Hz สำหรับเสียงกระทบของตัวเครื่อง (หากมีเสียงต่ำจากการตี)

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 500 – 1,500 Hz เพื่อเน้นเสียงความชัดเจนและรายละเอียดของเครื่องดนตรี

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 5,000 – 10,000 Hz เพื่อเพิ่มความชัดเจนของเสียงการตีและเพิ่มเสียงแวววาว (หากมี)

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 10,000 – 15,000 Hz สำหรับความคมชัดและรายละเอียดเสียงสุดท้ายที่คม

กลองบองโก (Bongo Drums)

ความถี่ต่ำ (Low) : ประมาณ 100 – 250 Hz สำหรับเสียงที่ออกมาจากการตีหน้ากลองที่ให้ความรู้สึกเป็นเบส

ความถี่กลาง-ต่ำ (Low-Mid) : ประมาณ 250 – 500 Hz เพื่อเพิ่มน้ำหนักของเสียงการตีและความแน่น

ความถี่กลาง (Midrange) : ประมาณ 500 – 1,500 Hz สำหรับรายละเอียดของเสียงหน้ากลองและเน้นเสียงตีที่ชัดเจน

ความถี่สูง (High) : ประมาณ 3,000 – 6,000 Hz เพื่อเพิ่มความชัดของเสียงไม้กลองและการตีที่ชัดเจน

ความถี่สูงมาก (Very High) : ประมาณ 8,000 – 12,000 Hz สำหรับเสียงที่แวววาวและเพิ่มความชัดเจนในโทนสูง

Bus Group 7 กีต้าร์เบส (Guitar Bass)

การปรับ EQ สำหรับเสียง เบส มักจะเน้นไปที่ความถี่ต่ำและกลางต่ำ เพื่อให้ได้ทั้งความหนักแน่นและความชัดเจนในมิกซ์เพลง โดยความถี่ของเบสจะแบ่งออกตามช่วงต่าง ๆ ดังนี้

ความถี่ต่ำมาก (Sub-Bass)

20 – 60 Hz : เป็นช่วงความถี่ที่ให้เสียงต่ำลึกและน้ำหนักของเบส เหมาะสำหรับการเพิ่มพลังของเบสในแนวเพลงที่ต้องการเสียงต่ำที่หนัก เช่น แนวเพลง EDM หรือ Hip-hop แต่ควรระวังไม่ให้เสียงเบลอหรืออู้มากเกินไป

ความถี่ต่ำ (Bass)

60 – 200 Hz : เป็นช่วงที่สร้างความแน่นและความหนาของเบส เสียงเบสที่อยู่ในช่วงนี้จะให้ความรู้สึกชัดเจนและมีพลัง เหมาะสำหรับการเพิ่มน้ำหนักในมิกซ์ให้เบสโดดเด่น

ความถี่กลางต่ำ (Low-Mid)

200 – 500 Hz : ช่วงนี้มีผลต่อความชัดเจนและรายละเอียดของเบส การเพิ่มความถี่ในช่วงนี้สามารถทำให้เบสมีความเด่นชัดในมิกซ์โดยไม่ต้องเพิ่มเสียงเบสในช่วงต่ำมากเกินไป แต่หากมีมากเกินไป อาจทำให้เสียงเบสฟังดูทึบหรืออู้ได้

ความถี่กลาง (Midrange)

500 – 1,000 Hz : ช่วงนี้สามารถเพิ่มความชัดเจนของเนื้อเสียงเบส โดยเฉพาะในส่วนของการตีหรือการดีดของสายเบส แต่ควรระวังไม่ให้เสียงเบสแหลมหรือแข็งเกินไป

ความถี่กลางสูง (High-mid)

1,000 – 2,500 Hz : ช่วงนี้มีผลต่อเสียงรายละเอียด เช่น การเคาะนิ้วหรือเสียงดีดของสายเบส หากต้องการให้เสียงเบสชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเพลงที่มีการเล่นเร็วหรือซับซ้อน อาจเพิ่มช่วงนี้เล็กน้อย

ความถี่สูง (High)

3,000 – 5,000 Hz : เพิ่มความคมชัดของเสียงเบสในส่วนที่เป็นเสียงการตีหรือการดีด หากเพิ่มในช่วงนี้สามารถทำให้เสียงเบสดูเป็นประกายและมีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น

20 – 60 Hz สำหรับเสียงเบสลึก (sub-bass) ที่ให้พลังและน้ำหนัก, 60 – 200 Hz สำหรับความแน่นและความหนักของเสียงเบส, 200 – 500 Hz สำหรับความชัดเจนและรายละเอียดของเสียงเบสในมิกซ์, 500 – 2,500 Hz เพื่อเพิ่มความคมชัดของเสียงการดีดหรือการกระทบของสาย

Bus Group 8 เครื่องเป่าทองเหลือง เช่น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และ ทูบา

มีช่วงความถี่ที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะเสียงและบทบาทของเครื่องดนตรีในมิกซ์ การปรับ EQ สำหรับเครื่องเป่าทองเหลืองควรพิจารณาความถี่ที่ต้องการเน้นหรือปรับแต่ง โดยสามารถแบ่งช่วงความถี่ได้ดังนี้

ความถี่ต่ำ (Low)

100 – 200 Hz : สำหรับความหนาและน้ำหนักของเสียงในเครื่องดนตรีที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ทูบาหรือทรอมโบน เสียงในช่วงนี้ช่วยเสริมความหนักแน่น แต่ควรระวังไม่ให้เสียงอู้เกินไป

200 – 400 Hz : ช่วงนี้ช่วยเพิ่มความอุ่นและเนื้อเสียงของเครื่องเป่าทองเหลือง แต่ถ้ามากเกินไปอาจทำให้เสียงฟังดูทึบ

ความถี่กลาง (Midrange)

400 – 800 Hz : เป็นช่วงที่ช่วยเพิ่มความชัดเจนของเครื่องเป่า ช่วงนี้มักมีความสำคัญสำหรับการเน้นโทนเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะของเครื่องดนตรี โดยเฉพาะทรัมเป็ตหรือฮอร์น

800 – 1,500 Hz : เพิ่มความคมชัดและโฟกัสของเสียง ช่วงนี้มักจะทำให้เครื่องดนตรีทองเหลืองโดดเด่นในมิกซ์เพลง

1,500 – 3,000 Hz : ช่วงนี้มีผลต่อการเพิ่มความคมและเสียงที่แหลมขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับทรัมเป็ตหรือเครื่องเป่าที่ต้องการความชัดเจน

ความถี่สูง (High)

3,000 – 5,000 Hz : ช่วยเสริมความชัดเจนของเสียงการเป่าและรายละเอียดของเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น เสียงการเป่าที่คมชัดของทรัมเป็ต

5,000 – 8,000 Hz : ช่วงนี้จะเพิ่มความแวววาวและเสียงที่สดใสของเครื่องเป่าทองเหลือง โดยเฉพาะในเครื่องที่มีเสียงสูงเช่น ทรัมเป็ต

ความถี่สูงมาก (Very High)

8,000 – 12,000 Hz : ช่วยเพิ่มประกายและความคมชัดของเสียงแหลมสูงสุด บางครั้งใช้สำหรับเครื่องเป่าที่ต้องการให้เสียงแวววาวและส่องประกายเป็นพิเศษ

100 – 200 Hz สำหรับเสียงต่ำและความหนักของเครื่องใหญ่ เช่น ทูบาและทรอมโบน, 200 – 800 Hz เสริมความอุ่นและเนื้อเสียงโดยรวมของเครื่องเป่า, 800 – 3,000 Hz ช่วยเพิ่มความชัดเจนและคมของเครื่องเป่า โดยเฉพาะทรัมเป็ต, 3,000 – 8,000 Hz เพิ่มความแวววาวและคมชัดของเสียงเครื่องเป่าที่สูง

Bus Group 9 กีต้าร์

การปรับ EQ สำหรับ กีต้าร์ (ทั้งกีต้าร์โปร่งและกีต้าร์ไฟฟ้า) มักจะเน้นการปรับแต่งความถี่ที่แตกต่างกันตามลักษณะเสียงที่ต้องการ โดยช่วงความถี่ของกีต้าร์สามารถแบ่งได้ดังนี้

ความถี่ต่ำ (Low)

80 – 120 Hz : ช่วงนี้ช่วยเพิ่มน้ำหนักและความแน่นให้กับเสียงกีต้าร์ เหมาะสำหรับการเพิ่มเสียงเบสของกีต้าร์ แต่ต้องระวังไม่ให้เสียงทับซ้อนกับเบสหรือกระเดื่อง

120 – 250 Hz : ช่วงนี้เป็นช่วงที่เสริมความอุ่นและความหนาของกีต้าร์ หากมากเกินไปอาจทำให้เสียงทึบหรืออู้ได้

ความถี่กลางต่ำ (Low-mid)

250 – 500 Hz : ช่วงนี้เพิ่มความอิ่มและน้ำหนักของกีต้าร์ โดยเฉพาะกีต้าร์โปร่ง มักจะให้โทนเสียงที่มีความเป็นธรรมชาติ หากมากเกินไปอาจทำให้เสียงดูทึบหรือเบลอ

ความถี่กลาง (Midrange)

500 – 1,500 Hz : ช่วงนี้ช่วยเพิ่มความชัดเจนของเสียงกีต้าร์โดยเฉพาะกีต้าร์ไฟฟ้า การปรับเพิ่มที่ช่วงนี้สามารถทำให้กีต้าร์เด่นขึ้นในมิกซ์ แต่ถ้าเพิ่มมากเกินไปอาจทำให้เสียงดูแหลมหรือแข็ง

1,500 – 3,000 Hz : ช่วงนี้ช่วยเสริมความคมของเสียงดีดหรือเสียงตีสาย ทำให้กีต้าร์ชัดเจนและคมมากขึ้นในเพลง

ความถี่กลางสูง (High-mid)

3,000 – 5,000 Hz : เป็นช่วงที่ทำให้เสียงกีต้าร์สดใสและชัดเจน การเพิ่มในช่วงนี้สามารถทำให้การเล่นกีต้าร์ฟังดูเปิดกว้างและมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะเมื่อเล่นในแนวเพลงที่ต้องการเสียงที่เปิดและชัดเจน

ความถี่สูง (High)

5,000 – 8,000 Hz : ช่วยเพิ่มรายละเอียดและความแวววาวของเสียง โดยเฉพาะกีต้าร์โปร่งหรือเสียงดีดสายที่ต้องการความชัดเจน แต่ควรระวังไม่ให้เสียงแหลมเกินไปจนฟังไม่สบายหู

ความถี่สูงมาก (Very High)

8,000 – 12,000 Hz : ช่วงนี้มักใช้สำหรับเพิ่มความเป็นประกายและความแวววาวของกีต้าร์ในเสียงที่สูงสุด เหมาะสำหรับการเพิ่มความชัดเจนของเสียงกีต้าร์โปร่งในช่วงเสียงแหลม

80 – 120 Hz : สำหรับเพิ่มน้ำหนักของเสียงเบส, 120 – 250 Hz : เพิ่มความอุ่นและหนาของกีต้าร์, 250 – 500 Hz : เสริมความอิ่มของโทนเสียง, 500 – 3,000 Hz : ช่วยเพิ่มความคมและความชัดเจน, 3,000 – 8,000 Hz : เพิ่มความสดใสและแวววาว

Bus Group 10 รวมชิ้นดนตรีอื่น ๆ ที่เหลือ

การปรับแต่งซาวด์ฟ้อนท์ MIXX PRO FLAT 2025 Karate

ซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ มีความยืดหยุ่นสูง และมีการลดความดังของไฟล์ Wave ลง เพื่อให้สามารถปรับแต่งต่อได้โดยไม่ทำให้เสียงเพี้ยน และในเนื้อหาต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำถึงวิธีการปรับแต่งซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ ให้ออกมาเป็นแนวเสียงที่คุณชอบ จบในซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ตัวเดียว

แยก Bus Group 10Ch. เพื่อแยกปรับอิสระ

โดยปกติแล้ว ไฟล์ตั้งค่าที่มากับซาวด์ฟ้อนท์ Mixx Pro จะมีการแยก Bus Group มาให้แล้ว 10Ch. แต่ยังไม่มีการปรับใด ๆ เมื่อท่านสั่งซื้อซาวด์ฟ้อนท์ไปแล้ว ให้ท่านทำการ โหลดไฟล์ตั้งค่า .cfg ที่มากับซาวด์ฟ้อนท์ เมื่อไปที่หน้า แยกเสียงมิดี้ คุณก็จะได้ หน้าตาโปรแกรมดังภาพตัวอย่าง ด้านล่างนี้

ซึ่งในแต่ละช่องนั้น จะประกอบด้วยชิ้นดนตรีอะไรบ้าง ผมได้อธิบายไว้แล้ว ตามเนื้อหาด้านบน สรุปได้ดังนี้
Bus Group 1 กระเดื่อง (Kick Drum), Bus Group 2 สแนร์ (Snare Drum), Bus Group 3 ทอม (High Tom, Mid Tom, Low/Floor Tom), Bus Group 4 การมิกซ์ ไฮแฮท (HiHat), Bus Group 5 แฉร์ต่างๆ (China, Ride), Bus Group 6 คาเบล (Cabal) และ กลองบองโก (Bongo Drums), Bus Group 7 กีต้าร์เบส (Guitar Bass), Bus Group 8 เครื่องเป่าทองเหลือง เช่น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และ ทูบา, Bus Group 9 กีต้าร์ และ Bus Group 10 รวมชิ้นดนตรีอื่น ๆ ที่เหลือ

ในหน้า Bus Group นี้ คุณสามารถ ทำ Gain., Pan, EQ, และ ใส่ เอฟเฟคต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะมีผลกับมิดี้ทั้งหมด ถ้าใช้ร่วมกับ Flat MIDI การปรับแต่งในหน้านี้จะมีประสิทธิภาพมาก และ เสียงที่ได้จะมีความสม่ำเสมอเท่ากันในทุกๆ เพลง แต่ถ้าคุณใช้ MIDI ทั่วไป ที่มีการกำหนดค่า CC มา อาจจะเกิดอาการ Over Processing ขึ้นได้ ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้ใช้ Flat MIDI จะดีกว่าครับ

สิ่งที่ต้องระวังคือ สเปรคเครื่องของคุณ แน่นอนว่า การปรับแต่งเพิ่มเติมในหน้านี้ จะค่อนข้างกินแรมพอสมควร ดังนั้น ถ้าแรมของคุณน้อย ควรปรับค่า เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

Gain หรือ Level

Gain (เกน) ในบริบทของเสียงและอุปกรณ์เสียง หมายถึงการเพิ่มระดับของสัญญาณเสียงหรือการขยายความแรงของสัญญาณเสียงก่อนที่จะส่งผ่านไปยังอุปกรณ์ต่อไป เช่น มิกเซอร์, แอมป์, หรืออินเทอร์เฟซเสียง

ในแง่เทคนิค Gain ควบคุมระดับสัญญาณอินพุต (input signal) ก่อนที่เสียงจะถูกประมวลผลหรือขยาย โดยทั่วไปมักใช้ในการขยายสัญญาณที่อ่อน เพื่อให้สัญญาณมีความชัดเจนและดังขึ้น แต่หากเพิ่ม Gain มากเกินไปอาจทำให้เกิดการบิดเบือนของเสียงหรือ “คลิป” (clipping) ซึ่งเสียงจะแตกและฟังไม่ชัดเจน

Equalizer 10 แบนด์

เป็น equalizer ที่แบ่งความถี่เสียงออกเป็น 10 ช่วง หรือแบนด์ เพื่อให้สามารถปรับแต่งเสียงได้ละเอียดในแต่ละช่วงของความถี่เสียง โดยทั่วไป EQ 10 แบนด์ มักจะประกอบด้วยความถี่ดังนี้
31, 32 Hz (Sub-Bass) : ช่วงความถี่ที่ต่ำที่สุด ให้เสียงเบสที่หนักแน่นและลึก แต่หากปรับมากเกินไปอาจทำให้เสียงอู้หรือไม่ชัดเจน
63 Hz (Bass) : ให้เสียงเบสที่สัมผัสได้ง่ายขึ้นจากลำโพงส่วนใหญ่ ใช้ในการปรับแต่งเสียงเบสของเครื่องดนตรี เช่น กลองเบสหรือเบส
125 Hz (Low Bass) : เสียงในช่วงนี้มักเป็นเสียงเบสลึก แต่ยังฟังดูอุ่นและหนักแน่น การปรับแต่งช่วยเสริมโทนเสียงต่ำให้เต็มและมีน้ำหนัก
250 Hz (Mid Bass) : เป็นเสียงเบสช่วงกลางที่ช่วยให้เสียงดูเต็มมากขึ้น และเป็นช่วงที่เริ่มมีอิทธิพลต่อเสียงของเครื่องดนตรีหลัก เช่น กีต้าร์หรือเสียงร้อง
500 Hz (Low Midrange) : ช่วงความถี่ที่เริ่มเข้าสู่โทนเสียงกลาง การปรับในช่วงนี้จะมีผลต่อความชัดเจนของเสียงร้องและเครื่องดนตรี
1 kHz (1,000 Hz) (Midrange) : ช่วงกลางที่ส่งผลต่อการฟังโดยตรง ปรับแต่งเสียงที่เด่นชัดในเพลงและเครื่องดนตรี ถ้าเปิดดังควร Cut ลง จะทำให้เสียงไม่กัดหู
2 kHz (2,000 Hz) (Upper Midrange) : ช่วงนี้ช่วยเพิ่มความชัดเจนให้กับเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้อง ช่วยให้เสียงดูสดใสขึ้น
4 kHz (4,000 Hz) (Presence) : ช่วงความถี่ที่มักถูกใช้ในการเพิ่มความชัดเจนให้กับเสียงร้อง เสียงเครื่องดนตรี และรายละเอียดต่างๆ ในเพลง
8 kHz (8,000 Hz) (Highs) : ช่วงนี้เป็นความถี่สูงที่ทำให้เสียงแวววาว ฟังดูสดใส แต่หากเพิ่มมากเกินไปอาจทำให้เสียงแหลมเกินไป
16 kHz (Treble) : ช่วงสูงสุดของความถี่ใน EQ 10 แบนด์ ช่วยเพิ่มประกายเสียงสูงสุด เช่น เสียง Hi-hat หรือเครื่องดนตรีที่มีโทนเสียงสูง

Reverb

Reverb (รีเวิร์บ) คือเอฟเฟกต์เสียงที่จำลองการสะท้อนของเสียงในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกของบรรยากาศและความลึกในการฟัง โดยเกิดจากการที่เสียงสะท้อนกลับมาหลายๆ ครั้งจากพื้นผิวต่างๆ ในห้องหรือพื้นที่ที่มีเสียงเกิดขึ้น เสียงสะท้อนเหล่านี้ค่อยๆ ลดความดังลงตามเวลา ซึ่งสร้างเอฟเฟกต์ของการกระจายตัวและทำให้เสียงฟังดูสมจริงและมีมิติ

Chorus

Chorus (คอรัส) เป็นเอฟเฟกต์เสียงที่ใช้ในการสร้างความหนาและความเต็มให้กับเสียง โดยการนำเสียงต้นฉบับมาผสมกับเสียงที่มีการเลื่อนเวลา (delay) และการปรับจูน (pitch modulation) แบบเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เสียงฟังดูมีมิติและมีความลึกมากขึ้น

Echo Delay

Echo Delay (อีโค ดีเลย์) เป็นเอฟเฟกต์เสียงที่สร้างการสะท้อนเสียงโดยการเลื่อนเวลา (delay) เสียงต้นฉบับ ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเสียงสะท้อนกลับมาจากแหล่งที่อยู่ห่างออกไป เอฟเฟกต์นี้มักถูกใช้ในการสร้างบรรยากาศและเพิ่มความลึกให้กับเสียง

Phaser

Phaser (เฟเซอร์) เป็นเอฟเฟกต์เสียงที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในโทนเสียงโดยการปรับเฟสของสัญญาณเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างเสียงที่มีความซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์ เอฟเฟกต์นี้มักถูกใช้ในดนตรีหลายแนว เช่น ร็อก, ป๊อป, และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

หมายเหตุ : ถ้าจะใส่ Phaser (เฟเซอร์) เสียงกีต้าร์พิณ แนะนำให้เลือกพรีเชตไปที่ ” ลำซิ่ง ” ที่หน้ามิกซ์ จะดีกว่าครับ

Flanger

Flanger (แฟลนเจอร์) เป็นเอฟเฟกต์เสียงที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในโทนเสียงโดยการผสมเสียงต้นฉบับกับเสียงที่มีการเลื่อนเวลา (delay) และปรับความถี่ (pitch) ในลักษณะซ้ำ ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงที่มีมิติและมีความลึก เอฟเฟกต์นี้มักถูกใช้ในดนตรีหลายแนว เช่น ร็อก, ป๊อป, และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

** สำหรับค่าต่าง ๆ ผมไม่สามารถระบุได้ว่า ควรใส่ค่าอะไรเท่าไหร่ เพราะเครื่องเสียงแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ค่าที่ผมแนะนำ คือ ค่าในไฟล์ .cfg ที่มากับซาวด์ฟ้อนท์ นั่นแหละครับ คุณสามารถปรับแต่งซาวด์ฟ้อนท์ตัวนี้ได้เอง อย่างอิสระ.

มิกซ์รวม ขั้นตอนสุดท้าย ก่อนส่งสัญญาณออก ลำโพง

ต่อสัญญาณเสียง จากคอม เข้าชุดเครื่องเสียง เพื่อมิกซ์รวม

สำหรับใครที่มีชุดเครื่องเสียง เช่น Mixer, EQ อยู่แล้ว คุณสามารถนำสัญญาณเสียงมิดี้ ไปใช้งานได้เลย แต่ถ้าใครไม่มีชุดเครื่องเสียง สามารถใช้โปรแกรม Eq APO จำลอง EQ เพื่อมิกซ์รวมอีกครั้งได้ ถ้าต้องการรายละเอียดเสียงที่ดีขึ้น

ใช้โปรแกรม Equalizer APO เพื่อมิกซ์รวม

โปรแกรม Equalizer APO

Equalizer APO เป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ซที่ทำหน้าที่เป็น equalizer (อีควอไลเซอร์) สำหรับระบบเสียงของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะบนระบบปฏิบัติการ Windows โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งความถี่เสียงได้อย่างละเอียดในระบบเสียงของคุณตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือลดความถี่เสียงบางช่วง เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงให้เหมาะสมกับลำโพงหรือหูฟังที่คุณใช้

คุณสมบัติหลักของ Equalizer APO

ปรับแต่งความถี่เสียง (Equalization) : คุณสามารถปรับแต่งความถี่เสียงได้ตามที่ต้องการ ตั้งแต่ความถี่ต่ำไปจนถึงความถี่สูง ทำให้เสียงที่ได้ออกมามีความสมดุลมากขึ้น
รองรับหลายช่องเสียง (Multichannel) : สามารถทำงานกับระบบเสียงที่มีหลายช่อง เช่น 5.1 หรือ 7.1 เสียงรอบทิศทาง
มีการใช้ CPU น้อย : Equalizer APO ถูกออกแบบมาให้ใช้ทรัพยากรเครื่องน้อยมาก จึงไม่ทำให้เครื่องทำงานช้าลง
รองรับโปรไฟล์เสียงที่กำหนดเอง : คุณสามารถสร้างโปรไฟล์เสียงหลายๆ แบบได้ เช่น การตั้งค่าเสียงสำหรับหูฟัง หรือลำโพงแต่ละคู่ตามการใช้งาน
รองรับการใช้งานร่วมกับ GUI Interface : คุณสามารถใช้งานร่วมกับส่วนต่อประสานผู้ใช้แบบกราฟิก (เช่น Peace Equalizer) เพื่อให้ง่ายต่อการปรับแต่งและตั้งค่าต่าง ๆ

การใช้งานทั่วไปของ Equalizer APO

การปรับแต่งเสียงหูฟัง : ช่วยเพิ่มหรือลดระดับความถี่ที่ต้องการในหูฟังเพื่อให้ได้เสียงที่ชัดเจนและสมดุลมากขึ้น
ปรับเสียงลำโพง : แก้ไขความถี่เสียงในลำโพงของคุณ เพื่อปรับปรุงเสียงโดยรวม เช่น เพิ่มเสียงเบส หรือลดเสียงแหลม
ใช้ในงานเสียงสตูดิโอ : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งเสียงเพื่อการบันทึกหรือมิกซ์เสียงในงานดนตรีหรือเสียงประกอบต่างๆ

Equalizer APO เป็นโปรแกรมที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถตั้งค่าได้ละเอียด ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงได้ตามความต้องการ

    คู่มือ การมิกซ์เสียงมิดี้
    ด้วยซาวด์ฟ้อนท์ Mixx Pro Flat 2025 (ฉบับมืออาชีพ)