IF I WERE TO TEACH MY CHILDREN ถ้าผมจะสอนลูก | เรียนรู้ทัศนคติ จากคนสองกลุ่ม
ลูกจ้าง และนายตัวเอง
❝ กลุ่มคนสองกลุ่ม ที่ผมนั้นหมายถึง คือ กลุ่มคนที่เป็นลูกจ้าง และ กลุ่มคนที่เป็นนายตัวเอง คุณจะพบว่า แนวคิดของคนทั้งสองกลุ่มนี้ แตกต่างกันอย่างมาก คุณจะได้แง่คิดหลายๆ อย่าง ระหว่างคนทั้งสองกลุ่มนี้ และมัน ก็ค่อนข้างที่จะสวนทางกัน ❞
ถ้าหากในตอนนี้ คุณยังอยู่ในช่วงวัยเรียน คุณควรที่จะเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างที่ตัวเองชอบ ก่อนจบปี 4 ต่อให้ครั้งแรก คุณจะยังทำมันไม่สำเร็จก็ตาม แต่คุณก็จะได้บทเรียน และรู้วิธีหลีกเลี่ยง ในการเริ่มก้าวครั้งต่อๆ ไป ไม่มีใคร ที่ไม่ต้องเจอกับความล้มเหลว ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ
อย่าปล่อยให้วันและเวลา ผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ จงคิดเสียว่า คุณมีเวลาเพียง 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างเส้นทางการเป็นนายตัวเอง ยิ่งในยุคปัจจุบัน การเริ่มต้นธุรกิจนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่ายกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ใช่ว่า มันจะสำเร็จไปเสียทุกครั้ง ได้ผลในทุกเรื่องที่ทำ ถึงอย่างไรก็ตาม คุณก็ควรที่จะลองทำมัน ยิ่งถ้าใครเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบ อย่ามัวแต่คิดเยอะ จนกลัว ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เริ่มลงมือ แต่ก็อย่าลงมือทำอะไร โดยที่ไม่ได้ผ่านการคิด หรือวางแผนอะไร มาก่อนเลย
มีหลายคน ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ วิธีเริ่มทำธุรกิจอย่างไร ถึงจะประสบความสำเร็จได้เร็ว จงใฝ่รู้กับเรื่องพวกนี้ให้มาก ระยะเวลา 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย ถ้าคุณมีวินัย และความตั้งใจที่มากพอ มีโอกาสสูงมาก ที่คุณจะได้นำเอาความรู้ที่เรียน มาสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งมันดีกว่า การที่คุณนั้นนำความรู้ที่คุณเรียนมา ไปทุ่มเทให้กับธุรกิจที่เป็นของคนอื่น ถึงเขาจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับคุณ แต่มันก็ไม่คุ้มค่า กับเวลาชีวิตที่ต้องเสียไป จากการที่คุณนั้น อุทิศชีวิต ทุ่มเทและรับใช้ ฝันของคนอื่น
4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย ❝ เพื่อแลกกับความสำเร็จ ที่มันรอคุณอยู่ตรงหน้า ❞ แล้วเหตุผลอะไร ที่คุณยังไม่คิดที่จะลงมือทำ 4 ปี ที่มีคนคอยซัพพอร์ทเรื่องเงินให้ มันคือช่วงชีวิตที่เหมาะมาก ที่คุณจะต้องจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองรัก ลองทำ ในสิ่งที่คุณนั้นคิดว่า สามารถอยู่กับมันได้ อย่างมีความสุข ไปตลอดชีวิต แต่ถ้าหากว่า คุณชอบการเป็นลูกจ้าง นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อคุณทำงานประจำ คุณจะเริ่มเบื่อวงจรชีวิต ที่ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ชีวิตเกือบทั้งวัน ต้องอยู่กับกฏระเบียบ ที่ใครก็ไม่รู้ เป็นคนวางกฏนั้น เอาไว้ คุณจะเริ่มคิดวางแผนเกษียณอายุ เริ่มหาลู่ทาง ในการเก็บเงินให้ได้สักก้อน เพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งตอนนั้น มันไม่ทันแล้ว ชีวิตในวัยทำงาน มันไม่ง่ายเลย คุณจะต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายเอง ไม่มีใครคอยซัพพอร์ทเรื่องเงินให้กับคุณแล้ว แต่เป็นหน้าที่ของคุณต่างหาก ที่จะต้องส่งเงินส่วนหนึ่งให้กับพ่อแม่ หรือแม้กระทั้ง ส่งหนี้ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่คุณเรียน
คุณต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แทนท่าน เพราะมันคือหน้าที่หลักของคุณในวัยทำงาน แล้วคุณคิดว่า จะหาเวลาช่วงชีวิตไหน ที่จะได้เริ่มต้น ทำตามความฝันของตัวเอง ได้สักที ?
❝ คุณรู้หรือไม่ว่า… ❞
กลุ่มคนที่ทำงานประจำ ยังสามารถแบ่งย่อย ออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มคนที่คิดว่า
❝ เดือนนี้ ฉันจะเอาเงินไปซื้ออะไรดี ❞ กับกลุ่มคนที่คิดว่า
❝ เดือนนี้ ฉันจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ❞
คุณคิดว่า คนกลุ่มไหน ถือว่า เป็นการจ่ายเงิน ให้กับตัวเอง ?
กลุ่มคนที่คิดว่า ❝ เดือนนี้ ฉันจะเอาเงินไปซื้ออะไรดี ❞
คนกลุ่มนี้ มักพบในกลุ่มคน ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานประจำ ส่วนมาก พวกเขามักจะติดกับดักนี้โดยที่เขาเอง ก็ไม่รู้ตัว กับดักนี้ เป็นอุปสรรค์ที่สำคัญ ที่จะทำให้ใครหลายๆ คน ที่ออกจากวงจรของความยากจนนี้ไม่ได้ เพราะพวกเขาเข้าใจว่า การซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ถือเป็นการจ่ายให้กับตัวเอง
มนุษย์เงินเดือนหลายคน ทำงานมาหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยมีเงินเก็บ ก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น ยังขาดเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต เลยมัวแต่หลงระเริงอยู่กับความสุขเพียงชั่วครู่ ชั่วคราว ทันทีที่เริ่มทำงานประจำ พวกเขาจะวางแผนเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง และคำถาม ที่มักจะผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขาก็คือ
❝ อีกไม่กี่วัน เงินเดือนก็จะออกแล้ว..
ฉันจะเอาเงินไปซื้ออะไรดี ❞
❝ ในเมื่อคุณวางแผนที่จะนำเงินในอนาคตมาใช้
แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ คุณจะรวย ❞
ลองสังเกตุคนรอบข้าง หรือเพื่อนร่วมงานของคุณดูว่า คนไหน ที่อยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้ โดยส่วนมาก คุณมักจะได้ยินพวกเขา คุยกันเรื่อง กิน เที่ยว ช็อปปิ้ง แต่คุณจะไม่ค่อยได้ยินพวกเขา พูดถึงเรื่องของการทำธุรกิจเลย หรืออาจจะมีบ้าง เพียง 20% ในบทสนทนาของพวกเขา ที่จะพูดถึงเรื่องการทำธุรกิจ แต่ส่วนมาก ก็มักจะเป็นคำพูดที่เพ้อฝัน เสียมากกว่า
หากคุณอยากหลุดพ้น จากกับดักนี้ คุณต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า “ในชีวิตนี้ คุณต้องการอะไรกันแน่”จากนั้น ให้คุณลองมองหา กลุ่มคนที่เขานั้น สามารถเป็นนายตัวเองได้ แล้วลองดูทัศนคติของพวกเขาว่า ต่างจากกลุ่มคนที่เป็นลูกจ้าง อย่างที่ผมบอกหรือไม่ จากนั้น คุณควรขอเขาเป็นเพื่อน เพื่อรับคำแนะนำดีๆ จากพวกเขา กลุ่มคนประเภทนี้เอง ที่คุณควรให้ความสำคัญ
ถ้าคุณมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของผม ถือว่าคุณนั้น มาถูกแล้ว จงทำมันต่อไป โดยการหาหนังสือ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเอง มาอ่านอย่างสม่ำเสมอ พยายามเสพสื่อที่เป็นประโยชน์ เช่น สื่อสอนการทำธุรกิจ สื่อสอนเรื่องการเงินและการลงทุน เพราะมันเป็นวิธีการคบคนรวย ที่ผมใช้แล้วได้ผลจริง คุณสามารถใช้วิธีคบคนรวยแบบผมก็ได้ ถ้าหากว่า ในชีวิตจริงของคุณนั้น หากลุ่มคนที่สามารถเป็นนายตัวเอง ไม่ได้เลย หรือไม่ ก็เข้าไปขอคำปรึกษาดีๆ จากเจ้านายของคุณ และคุณอาจได้รับโอกาสดีๆ โดยที่คุณนั้น ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ก็ได้
กลุ่มคนที่คิดว่า ❝ เดือนนี้ ฉันจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ❞
คนกลุ่มนี้ มักจะเป็นกลุ่มคน ที่ทำงานประจำมาได้สักพัก จนพวกเขา เริ่มที่จะเบื่องานประจำ จึงเริ่มคิดเรื่องเกษียณ อยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน พวกเขา จะเริ่มสนใจและมองหาธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง เมื่อความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไป ก็จะค่อยๆ เริ่มเก็บเงินก้อนได้ และเริ่มได้สติกลับมา
❝ เพราะคุณได้รับการปลูกฝังมาแบบนี้
คุณก็เลยส่งต่อให้ลูกของคุณ ไปแบบนั้น ❞
ผมเคยได้ยินพ่อแม่หลายคน เฝ้าบอกกับลูกของตัวเองว่า เรียนให้เก่งๆ จบมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นที่พึ่งของพ่อแม่ได้ คำพูดเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นการถ่ายทอด และส่งต่อชุดความคิดที่ล้าสมัย ให้กับลูกของคุณ ชุดความคิด ที่ถูกถ่ายทอดและส่งต่อกันมา ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า และมันก็จะยังคงถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ ตราบใดที่คุณนั้น ยังไม่เปลี่ยนแนวความคิดนี้เสียที
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ วันนี้ คุณลองมองย้อนกลับไปดูสิว่า คุณก็ได้ชุดความคิดนี้ มาจากพ่อแม่ของคุณ เช่นเดียวกัน แต่คุณเคยรู้หรือไม่ว่า
❝ คนรวย สอนลูกให้รู้จักการเป็นนายตัวเอง ส่วนคนจน สอนลูกให้พยายามไปเป็นเจ้าคนนายคนในธุรกิจของคนอื่น ❞
สุดท้าย คุณก็ได้เห็นแล้วว่า คุณต้องทำงานหนักแค่ไหน กว่าที่จะส่งลูกของคุณให้เรียนจบ พ่อแม่บางคน เคยทำงานประจำ แต่ก็เลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตอิสระอยู่บ้าน ด้วยเงินเก็บจากงานประจำเพียงไม่กี่บาท มันเป็นการลงทุนกับตัวเอง ที่คุ้มค่าแล้วจริงๆ หรือ
❝ จงทำใจไว้เลยว่า อนาคตลูกของคุณ ก็จะไม่ต่างจากคุณในตอนนี้ ดังนั้น การวางแผนพึ่งตัวเองดีที่สุด ❞
❝ เราเสียเวลาชีวิต ในระบบการศึกษามาตั้งหลายปี เพียงเพื่อที่จะ เรียนจบไปเป็นลูกจ้าง ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน เก็บเงินให้ได้สักก้อน เพื่อที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตอิสระอยู่บ้าน เพียงเท่านี้ เองหรือ ? ❞
มันไม่แปลก ที่หลายๆ คน จะมีชุดความคิดแบบนี้อยู่ในหัว เพราะสังคม รวมทั้งค่านิยม มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว มันเป็นคำสอนที่จริงใจ แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผล คนรุ่นต่อมาอย่างคุณ ก็เลยตกเป็นทายาททางความคิด ของคนที่ยังมีค่านิยมเดิมๆ ก็เท่านั้นเอง
วันนี้ โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว มีวิธีการหาเงินอีกมากมาย ที่คุณนั้นยังไม่เคยรู้ คุณสามารถหาเงิน จากที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องยึดติดกับแนวคิด และวิธีการเดิมๆ อีกต่อไป ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้แล้ว แต่ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า คุณจะกล้าพอ ที่จะสอนลูกของคุณ ให้แตกต่างจากคนอื่น หรือไม่
การศึกษาในระบบ ถือเป็นธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ดังนั้น โครงสร้างของระบบ จึงมักเอื้ออำนวย ให้กับคนที่อยากเข้ารับราชการ สามารถตอบโจทย์ ให้กับคนกลุ่มหนึ่ง แต่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ชอบงานราชการ ไม่ชอบการเป็นลูกจ้างล่ะ จะต้องเรียนรู้จากที่ใด ในเมื่อระบบการศึกษาในปัจจุบัน ยังสอนเด็ก ให้ไปเป็นลูกจ้างอยู่เลย
อีกมุมหนึ่ง ทำไมคนรวยหลายๆ คน ถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ระบบการศึกษา ไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ให้พวกเขา ก้าวไปสู่ความมั่งคั่ง และร่ำรวยในชีวิตได้ ทำไมพวกเขา ถึงคิดเช่นนั้น
❝ จงสงสัย และกระหายที่จะหาคำตอบ ให้เท่ากับการที่คุณนั้น อยากรวย ❞
ลองสังเกต และเรียนรู้ทัศนคติจากคนสองกลุ่มนี้ ด้วยตนเอง ให้มากที่สุด จากคนหลายๆ คน เพราะมันจะช่วยยืนยัน ในสิ่งที่ผมบอกกับคุณได้เป็นอย่างดีว่า วิธีคิดนั้น สำคัญแค่ไหน ในการที่จะทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง และส่วนมาก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต พวกเขามักจะมีวิธีคิดที่คล้ายๆ กัน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้าคุณอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต บนเส้นทางของ นายตัวเอง คุณก็แค่ลองเปลี่ยนความคิด และทัศนคติให้สอดคล้องกับสิ่งที่คุณอยากจะเป็น พร้อมๆ กับพัฒนาศักยภาพของตนเอง ให้ได้มากพอ เท่ากับคนที่เขาประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ เพราะมันดีกว่า การที่คุณเอาแต่พูดว่า อยากรวยๆ แต่ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
❝ หลายคนมองว่า คนรวย มักจะเป็นคนไม่ดี ❞
จงเปลี่ยนความคิดของคุณที่ว่า คนที่เขารวย ก็เพราะว่า เขามีมรดกอยู่แล้ว หรือ ต้นตระกูลเขาเป็นคนร่ำรวยมาก่อน ผมขอบอกเลยว่า นั่นมันเป็นความคิดที่จะคอยขัดขวาง ในการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณเอง มันไม่ได้ช่วยให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จได้เลย
แต่ในทางกลับกัน ทำไมคนรวยเขามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า
❝ การที่จะรวยนั้น ง่ายกว่า..
การที่จะรักษาความร่ำรวยนั้นไว้เสียอีก ❞
นักกีฬาคนหนึ่ง กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต จนสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเอง อย่างมากมายมหาศาลได้นั้น เขาต้องผ่านการฝึกซ้อม และพัฒนาตัวเองมาอย่างหนัก เขาต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมีวันนี้ได้ เขามีโค้ชซึ่งเป็นผู้ฝึกสอน และคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นไม่สูญเปล่า และไปในทิศทางที่ถูกต้อง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จนได้ผลลัพธ์อย่างที่เขาตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนักกีฬาแต่ละคนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเขาเองล้วนๆ ซึ่งโค้ช มีหน้าที่แค่เพียงให้แนะนำที่ถูกต้องเท่านั้น
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ คงเป็นตัวบอกกับคุณได้ว่า ความสำเร็จในโลกนี้ ไม่เคยมีใครที่ได้มันมาแบบฟรีๆ ยิ่งถ้าพื้นฐานทางครอบครัวของคุณนั้น ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยมาก่อน คุณจะไม่มีมรดกทางความคิดในแบบของคนรวยถ่ายทอดถึงคุณเลย แต่วันนี้ ถ้าคุณพร้อมที่จะเริ่มพัฒนาตัวเอง คุณก็มีโอกาสที่จะร่ำรวย แต่ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง คุณก็จะกลายเป็นคนล้มเหลวไปตลอดชีวิต อย่างที่คุณเคยเป็น
คนรวย และคนจน
❝ ผมอ่านหนังสือมาหลายเล่ม และแต่ละเล่มนั้น ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากจะรวยต้องคิดอย่างคนรวย คุณรู้หรือไม่ว่าระหว่างคนรวย กับคนจน มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ แนวคิดที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ❞
❝ คนรวย : พวกเขามักจะถูกพ่อแม่ปลูกฝังให้มีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่คนจน : เรื่องเงิน เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเราไม่ควรยุ่ง ❞
❝ คนรวย : ไม่ให้เงินลูกฟรีๆ แต่จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เสมอ ในขณะที่คนจน : พ่อแม่ มีหน้าที่ที่จะต้องหาเงินมาให้ลูก จนกว่าเขาจะเรียนจบ ❞
❝ คนรวย : พยายามเพิ่มรายได้ จากหลากหลายช่องทาง ในขณะที่คนจน : พยายามเพิ่มรายได้ จากช่องทางเดียว ❞
❝ คนรวย : สอนให้ลูกรวยด้วยการสร้างธุรกิจ และการลงทุนในสินทรัพย์ คนจน : สอนให้ลูกรวยด้วยการขยันทำงาน และรู้จักเก็บออม ❞
❝ คนรวย : สร้างธุรกิจทิ้งไว้ให้ลูก มีสินทรัพย์เป็นมรดก ในขณะที่คนจน : เก็บเงินไว้ให้ลูก หรือหวังพึ่งเงินก้อน จากสวัสดิการของรัฐ ❞
❝ คนรวย : คิดวิธีที่จะสร้างธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจทำเงินให้ ในขณะที่คนจน : คิดวิธีหาเงิน เพื่อมาสร้างธุรกิจ ❞
นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนที่ผมนั้น ได้ตกผลึกจากการอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ถ้าคุณเริ่มสนใจที่จะยกระดับแนวความคิดของคุณให้เข้าใกล้กับแนวความคิดของคนรวยมากกว่านี้ ผมได้ใส่รายชื่อหนังสือที่ผมนั้นเคยอ่านแล้วคิดว่ามันมีประโยชน์ ไว้ในส่วนท้าย เผื่อคุณสนใจที่จะอ่านมัน