การเขียนเป็นทักษะที่จำเป็นในเกือบทุกด้านในชีวิตของเรา ตั้งแต่การเขียนอีเมลไปจนถึงการเขียนรายงาน การมีทักษะการเขียนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการถ่ายทอดความคิดและแนวคิดของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะการเขียนไม่เพียงแต่มีความสำคัญในด้านวิชาการและวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในชีวิตส่วนตัวของเราด้วย ในบทความนี้ เราจะพูดถึงความสำคัญของทักษะการเขียน
ประการแรก ทักษะการเขียนช่วยให้เราแสดงความคิดและแนวคิดของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อความที่เขียนดี มีความชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่าย ช่วยให้ผู้อ่านติดตามการไหลของความคิดและเข้าใจข้อความที่ผู้เขียนพยายามสื่อ ไม่ว่าจะเป็นรายงาน เรียงความ หรืออีเมล ทักษะการเขียนที่ดีจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถแสดงความคิดในลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผลและสอดคล้องกัน นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมทางวิชาชีพ ซึ่งการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
ประการที่สอง ทักษะการเขียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จทางวิชาการ ในสถานศึกษา นักเรียนจะต้องเขียนเรียงความ รายงาน และเอกสารการวิจัย ทักษะการเขียนที่ดีช่วยให้นักเรียนแสดงความคิดและแนวคิดที่ชัดเจนและรัดกุม สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้เกรดที่ดี นอกจากนี้ ทักษะการเขียนยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อีกด้วย ขณะที่นักเรียนเขียน นักเรียนจะได้เรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอแนวคิดอย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกัน
ประการที่สาม ทักษะการเขียนมีความสำคัญต่อความสำเร็จในวิชาชีพ ในโลกปัจจุบัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญต่อความสำเร็จในที่ทำงาน ทักษะการเขียนมีความสำคัญอย่างยิ่งในวิชาชีพต่างๆ เช่น สื่อสารมวลชน การประชาสัมพันธ์ และการโฆษณา ซึ่งความสามารถในการเขียนเนื้อหาที่โน้มน้าวใจและมีส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ทักษะการเขียนที่ดียังมีความสำคัญสำหรับมืออาชีพในสาขาต่างๆ เช่น กฎหมาย การแพทย์ และวิศวกรรม ซึ่งการสื่อสารที่ชัดเจนและรัดกุมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
ประการที่สี่ ทักษะการเขียนมีความสำคัญต่อการเติบโตและการพัฒนาส่วนบุคคล การเขียนเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสะท้อนความคิดและความรู้สึกของเรา ตัวอย่างเช่น การจดบันทึกสามารถช่วยเราประมวลผลอารมณ์และเพิ่มความชัดเจนในความคิดของเรา นอกจากนี้ การเขียนยังสามารถใช้เป็นวิธีการแสดงออกที่สร้างสรรค์ การเขียนบทกวี เรื่องสั้น และนวนิยายทำให้เราสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการได้
ทักษะการเขียนที่ดีจำเป็นต่อความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและในอาชีพ การเขียนช่วยให้เราแสดงความคิดและแนวคิดของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารด้วยความชัดเจน และพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงทักษะการเขียนของเราเพื่อประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต
ในบทความนี้ ผมจะมาแบ่งปันวิธีเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิต ให้กลายเป็นงานเขียน เพื่อปั้นให้กลายเป็นธุรกิจเงินล้านของคุณในอนาคต
หนังสือออนไลน์ | ถ้าผมจะสอนลูก IF I WERE TO TEACH MY CHILDREN ❝ ประสบความสำเร็จก่อนอายุ 30 ❞
การหาไอเดีย และเรื่องที่จะเขียน
รวม 4 หัวข้อ ที่ใช้ได้กับคนทุกยุคทุกสมัย และเป็น 4 หัวข้อ ที่คุณควรรู้ หากต้องการสร้างรายได้แบบ Passive Income จากการเขียนเพียงแค่ครั้งเดียว
หลายคนคงเกิดคําถามว่า.. แล้วเราจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี ในเมื่อเรา ไม่เคยเขียน เราไม่ใช่คนเก่ง และไม่ใช่คนที่ประสบความสําเร็จอะไรในชีวิต ที่พอจะเป็นต้นแบบให้กับใครเขาได้
หลายคน มักที่จะดูถูกความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ และ ประเมินค่าของตัวเองตํ่าไป ซึ่งผมก็เคยอยู่ในจุดนั้นมาแล้ว
จนวันหนึ่ง.. มีคนเดินเข้ามาถาม ผมว่า เขาต้องการเอาคลิปที่ถ่ายแมวเล่น ๆ ลงยูทูป มันต้องทํายังไง หลายคนคงคิดเหมือนกับผมในตอนนั้นว่า..
เรื่องแค่นี้.. ใครเขาก็ทําได้
คนเรา.. มักจะตัดสินคนอื่น จากความคิดของตัวเอง เราคิดไปเองว่า คนอื่นจะต้องรู้ เพราะขนาดเรายังรู้เลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะใฝ่รู้ และขยันพอที่จะลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เขาจึงเลือกที่จะถามเรา เพราะเขาจะได้ประหยัดเวลา ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาต้องการแค่ ขั้นตอนที่มันสามารถนำไปใช้ได้ทันที
สิ่งที่ผมอยากให้แนวคิดในการเลือกหัวข้อที่จะเขียนนั้น ควรจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหนก็ตาม เพราะสิ่งที่ผมให้ความสําคัญในบทความนี้ก็คือ การสร้างรายได้แบบ Passive Income จากการเขียน
ดังนั้น เนื้อหาที่จะนํามาเขียน และสร้างเป็นดิจิตอลโปรดักส์นั้น จะต้องเป็นเนื้อหาที่สามารถใช้ได้ตลอด ยกตัวอย่างเช่น
หัวข้อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยุคสมัยไหน คนก็อยากที่จะมีสุขภาพดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่คุณ ควรระวัง นั่นก็คือ.. เนื้อหาที่เกี่ยวกับ วิธีการลดความอ้วน วิธีการเพิ่มนํ้าหนัก หรือ วิธีการเพิ่มกล้ามเนื้อ เพราะถ้าคุณต้องการต่อยอด งานเขียนของคุณ ไปทําช่องยูทูป เนื้อหาในช่องยูทูปของคุณ ที่เกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ จะมีอยู่จำกัด
ดังนั้น คุณควรที่จะตั้งชื่อช่องของคุณ ให้สามารถต่อยอดได้ในอนาคต เพราะเมื่อคุณบอกเทคนิคไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว คุณก็จะเจอทางตันในการทํา Content ของคุณ นั่นเอง
หัวข้อเกี่ยวกับอารมณ์ และความรู้สึก
ผมรวมไปถึง หัวข้อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ เรื่องราวของความรัก และ หัวข้อเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจต่างๆ ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวและมีประสบการณ์ ได้เจอกับเเฟนในระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยว คุณก็แค่หยิบช่วงเวลาเหล่านั้นมาเขียนเป็นเรื่องราว บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ให้สอดคล้องกับหัวข้อ อารมณ์และความรู้สึก
คุณอาจจะตั้งหัวข้องานเขียนของคุณว่า “เที่ยวกระบี่ยังไงให้ได้แฟน” แทนที่จะตั้งหัวข้อธรรมดา ๆ ว่า “เที่ยวกระบี่” เฉยๆ จะทําให้งานเขียนของคุณ มีชีวิต สื่ออารมณ์ มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาก็คือ การไปเที่ยวกระบี่เหมือนกัน
หัวข้อเกี่ยวกับการเงิน และความมั่งคั่ง
ผมรวมไปถึงหัวข้อเกี่ยวกับอาชีพด้วย แน่นอนว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ใครก็อยากจะรํ่ารวย อยากจะมั้งคั่งด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคุณมีวิธีการ และขั้นตอนการเดินทางไปสู่ความรํ่ารวย คุณก็แค่ลองเขียนมันออกมาว่า..
กว่าที่คุณจะเดินมางมาถึงจุดนี้ได้ คุณต้องทําอย่างไร คุณต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง และคุณผ่านปัญหาเหล่านั้น มาได้อย่างไร
หัวข้อเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และความเชื่อ
เช่น เรื่องเล่า ตํานาน นิยายลี้ลับ เป็นต้น งานเขียนประเภทนี้ต้องอาศัยจินตนาการ หรือเค้าโครงจากเรื่องจริง มาปรุงแต่งให้เกิดความน่าสนใจ น่าติดตาม งานเขียนประเภทนี้ต้องใช้ทักษะในการเขียนขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งผมเองก็ไม่ถนัด
ลักษณะงานเขียนที่คนชอบ และมักจะขายได้
เขียนเพื่อขาย จะเขียนยังไงให้ขายได้ รวมลักษณะงานเขียนที่คนชอบ และมักจะขายได้ ถ้างานเขียนของคุณมีลักษณะตรงกับ 5 หัวข้อนี้ มีโอกาสขายดีแน่นอน
สามารถแก้ปัญหาบางอย่างให้ผู้อ่านได้
และชื่อหนังสือ ต้องสื่อให้ชัดเจนว่า ผู้อ่านจะได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้ เช่น
❝ พูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 30 วัน ❞ คุณก็แค่เขียนมันออกมาว่าคุณทําอะไรบ้าง เจอปัญหาอะไรบ้าง และผ่านมันไปได้อย่างไร
สามารถลดเวลาการเรียนรู้ของผู้อ่านได้
โดยเรียนรู้โดยตรง จากประสบการณ์จริงของคุณแทน และคุณจะต้องสอดแทรก วิธีแก้ปัญหาในแต่ละหัวข้อ ไว้ให้ผู้อ่านได้นำไปทําตามด้วย
เน้นเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน มากกว่าความรู้
จงจําไว้เสมอว่าทุกวันนี้มี Google ผู้อ่านต้องการรู้เพียงว่า วิธีการไหนใช้ได้ผลจริง ประหยัดเวลาที่สุด จะต้องทําอย่างไร จึงจะได้ผลลัพธ์แบบที่คุณเคยผ่านมันมา เพื่อเดินตามแนวทางของคุณเลย แทนที่จะเสียเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
เขียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว
แน่นอนว่า มันย่อมน่าเชื่อถือ มากกว่าเรื่องราวที่แม้แต่คุณเองก็ยังไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผลจริง ดังนั้น ควรหาจุดยืนของตัวเองในเรื่องที่จะเขียนให้เจอ แล้วเขียนเรื่องราวที่ผ่านมาของคุณ ให้ผู้อ่านได้เดินตามเส้นทางของคุณ เท่านั้นเอง
เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่สนใจ
ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ประกอบไปด้วย หัวข้อเกี่ยวกับความรู้สึก ความมั่งคั่ง การดูแลสุขภาพ และงานเขียนที่ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้
ทดลองทํา Research และ เริ่มสร้างฐานผู้ติดตาม
ขายให้ได้ก่อน ค่อยลงมือเขียน ถ้าคุณเขียนในสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ยังไงมันก็ต้องขายได้ เทคนิคการทำ Research ที่มืออาชีพส่วนใหญ่ มักจะมองข้าม แต่มันกลับใช้ได้ผลดี ถ้าลองทำแบบนี้
เครื่องมือ ที่ผมเลือกนํามาใช้ ในการทํา Research และ ลองหาตลาด ในธุรกิจของผมก็คือ Instagram และ Facebook
หลังจากที่ผมเลือกได้ว่า ผมจะทําเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยเลือกจาก เรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ผมเลือกเป็น การเงิน และ ความมั่งคั่ง ควบคู่ไปกับ อารมณ์ และความรู้สึก
ขั้นตอนต่อไปผมได้เริ่มสร้าง Facebook เพจ และ Instagram แบบบัญชีธุรกิจ ขึ้นมา ผมเริ่มทํา Content ที่เกี่ยวกับคําคม กระตุ้นให้คนอยากเป็นนายตัวเอง แล้วเริ่มโพสต์ โดยที่ผมยังไม่จําเป็นที่จะต้องสร้างดิจิตอลโปรดักส์อะไรขึ้นมาก่อนเลย
ประโยชน์คือ ถ้า Content ที่ผมทำ ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี ผมก็แค่ ปรับเปลี่ยน Content ใหม่ แล้วลองนําเสนอใหม่อีกครั้ง จนกว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
เมื่อเป็นที่น่าพอใจแล้ว ผมจึงค่อย สร้างดิจิตอลโปรดักส์ให้สอดคล้องกับ Content ที่ทํา แค่นั้นเอง
และสิ่งที่ผมได้จากการทํา Research ในครั้งนี้ก็คือ ผมได้รู้ว่า กลุ่มเป้าหมาย ของผมเป็นใคร ช่วงอายุ เท่าไหร่ เพศชาย กี่เปอร์เซ็นต์ เพศหญิง กี่เปอร์เซ็นต์
มันมีประโยชน์อย่างมาก ที่จะ นําข้อมูล เหล่านี้มาเขียนและ สร้างเป็น Content ให้เหมาะกับผู้ติดตาม รวมทั้งเป็นข้อมูลในการสร้างดิจิตอลโปรดักส์ขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ Content ที่ผมทําบน Instagram และ Facebook
อย่างน้อยผมก็มั่นใจแล้วว่า ไอเดียที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ มัน มีคนที่สนใจ และ มีโอกาสขายได้
ที่สําคัญ คุณต้องเข้าใจเครื่องมือ แต่ละอย่างก่อนว่า มีจุดเด่นอะไรบ้างแล้ว เลือกให้เหมาะกับ Content ที่คุณทํา ยกตัวอย่าง เช่น
ถ้าคุณต้องการทํา Content เกี่ยวกับข่าว ที่ต้อง เน้นความฉับไว เข้าใจง่าย เน้นความเที่ยงตรง คุณก็ควรเลือกใช้ Twitter ในการสร้างตัวตน ให้ธุรกิจของคุณ
มื่อคุณประเมินแล้วว่า ไอเดีย ที่คุณมีมันมีคนสนใจ ผมอยากให้คุณทําแบบฝึกหัดด้านล่างนี้ให้ได้ และเริ่มงานเขียนของคุณได้เลยตอนนี้
แบบฝึกหัดที่ 1 กำหนดเป้าหมาย และสร้างวินัย
เป้าหมาย และ วินัย คำง่ายๆ แต่หลายคนยังไม่เข้าใจ ถ้าลองทำแบบฝึกหัดนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
(ตัวอย่าง) แบบฝึกหัดที่ 1
กำหนดเป้าหมาย
- เพื่อให้เด็กไทยเป็นนายตัวเองก่อนอายุ 30
- เพื่อเป็นคู่มือสอนลูกของพ่อแม่สมัยใหม่
- สร้างรายได้แบบ Passive Income
สร้างวินัย
- ฉันต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยเดือนละ 1 เล่ม
- ฉันต้องเขียนให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 A4 เรื่องอะไรก็ได้
- ฉันต้องเขียนเรื่องแรกให้ได้ ภายใน 3 เดือน
- สิ่งที่ยากสุดคือ การเขียนต้นฉบับ ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้
แบบฝึกหัดที่ 2 วิธีหาเรื่องที่จะเขียน
เผยเทคนิค ในสองขั้นตอนง่ายๆ ของการหาเรื่องที่จะเขียน โดยขุดจากประสบการณ์ทั้ง 5 ด้าน และ 4 เรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ พร้อมตัวอย่าง ให้คุณทำตามได้ทันที
ขั้นตอนที่ 1 จงเขียน ” ชื่อประสบการณ์ ” จากประสบการณ์ด้านต่างๆ ที่คุณเคยผ่านมาแล้วในชีวิต ว่ามีอะไรมาบ้าง ให้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น
- ประสบการณ์ด้าน การเรียน
- ประสบการณ์การ ทํางาน หรือ การทําธุรกิจ
- ประสบการณ์ด้าน ความรัก
- ประสบการณ์ด้าน การเดินทาง และ ท่องเที่ยว
- ประสบการณ์ด้าน สิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ขั้นตอนที่ 2 ให้บอกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์เหล่านั้น แล้วลองเอาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไปผูกกับ เรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ประกอบด้วย
- สุขภาพ
- อารมณ์และ ความรู้สึก
- เงิน และความมั่งคั่ง
- จิตวิญญาณ และความเชื่อ
โดยดูจากตัวอย่างด้านล่าง ลองเขียนมันออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาในชีวิต
(ตัวอย่าง) แบบฝึกหัดที่ 2
ประสบการณ์การทํางาน
ชื่อประสบการณ์ (เคย) : ทํางานที่เกาะพีพี
ผลลัพธ์ : มีเงินเก็บ
เรื่องที่จะเขียน : เก็บเงินแสนแรกจากงานประจํา
ประสบการณ์การทําธุรกิจ
ชื่อประสบการณ์ (เคย) : ทําร้านขายของชํา
ผลลัพธ์ : ล้มเหลว
เรื่องที่เขียน : 11Hall ธุรกิจที่ล้มตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
ประสบการณ์ด้านความรัก
ชื่อประสบการณ์ (เคย) : อยูในเหตุการณ์รักสามเส้า
ผลลัพธ์ : ไม่มีใครสมหวัง
เรื่องที่จะเขียน : รักสามเส้า..อย่าเศร้านาน
ประสบการณ์การเดินทาง และ การท่องเที่ยว
ชื่อประสบการณ์ (เคย) : ไปเที่ยวทะเล
ผลลัพธ์ : เป็นไข้แดดครั้งแรกในชีวิต
เรื่องที่จะเขียน : 10 วิธีป้องกันไข้แดดเมื่อไปเที่ยวทะเล
เมื่อคุณทํา แบบฝึกหัดที่ 2 ผ่านมาแล้ว คุณจะเริ่มมองภาพออกมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณยังติดปัญหาอยู่ และไม่สามารถทําแบบฝึกหัดได้ ผมอยากให้คุณ กลับไปทบทวนเนื้อหาใหม่อีกครั้ง และจงพยายาม เขียนมันออกมาให้มากที่สุด เท่าที่คุณจะจําประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ในชีวิตของคุณได้
ขั้นตอนต่อไป ผมอยากให้คุณลองเลือกเอา “เรื่องที่จะเขียน” ที่คุณคิดว่า อยากเขียนมากที่สุด อยากเล่ามากที่สุดมาเพียงหนึ่งหัวข้อ เพื่อนําไปเรียนรู้ในขั้นตอนของการเขียนต่อไป ส่วนหัวข้อที่เหลือ คุณยังสามารถเก็บไว้เป็นหัวข้อที่คุณจะเขียน ในโอกาสต่อไปได้
แต่สิ่งสําคัญในตอนนี้ก็คือ คุณต้องรู้ขั้นตอนในการเขียน ให้ได้เสียก่อน ส่วนความสมบูรณ์ของเนื้อหานั้น คุณสามารถกลับมา เพิ่มเติม ตัดทอน เรียบเรียงใหม่อีกครั้งได้ในภายหลัง
เทคนิคหาหัวข้อหลักที่จะเขียน
วิธีสร้างประโยคจากเรื่องที่จะเขียน เทคนิคที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า หัวข้อใดที่คุณควรนำมาเขียน วิธีการสร้างโพสต์จากหัวข้อหลัก เพื่อนำไปทำ Research ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ หัวข้อย่อย
จากตัวอย่างใน แบบฝึกหัดที่ 2 นั้น ผมได้สอนวิธีหา “เรื่องที่จะเขียน” มาแล้ว นั่นเท่ากับว่าตอนนี้คุณมีขอบเขตของเรื่อง ที่จะนํามาเขียนแล้ว
ถ้าคุณจะนําไปสร้างเป็น E-Book คุณสามารถนําขอบเขตนี้ ไปตั้งเป็น ชื่อหนังสือ ของคุณได้เลย หรือคุณสามารถนําไปตั้งเป็น ชื่อ Content อื่นๆ ไม่ว่าจะทําเป็น บทความ หรือ คลิปวิดีโอ ได้อีกด้วย
สําหรับในหนังสือเล่มนี้ผมได้นํา วิธีการ ตั้งแต่ผมเริ่มวางโครงสร้างของหนังสือ เล่มหนึ่ง ยกมาเป็นตัวอย่างประกอบในการอธิบายด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการทําความเข้าใจ ในเนื้อหามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างวิธีคิด : ให้ลองสร้างประโยคจากเรื่องที่จะเขียน เช่น ผมเคยเจอปัญหา อยากมีธุรกิจ แต่ไม่มีเงินทุน ผม “แก้ปัญหา” โดยการ สร้างดิจิตอลโปรดักส์จากการเขียน ทําให้ตอนนี้ผม มีธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเอง และถ้าคุณอยากประสบความสําเร็จแบบผม ให้คุณทําตามผมดังนี้
ขั้นตอน
- ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
- ต้องเลือกธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวเอง
- ต้องมีวินัยและทําอย่างสมํ่าเสมอ
- ต้องรู้เทคนิคการตลาด
- ต้องสร้างดิจิตอลโปรดักส์เป็น
- ต้องรู้จักการสร้างแบรนด์
หรืออีกวิธีหนึ่ง คุณอาจจะเขียนเป็นรูปแบบที่เข้าใจง่าย ๆ ตามตัวอย่างด้านล่างนี้
ความคาดหวังของผู้อ่าน
- มีธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเอง
- สร้างดิจิตอลโปรดักส์ จากการเขียนได้
ขั้นตอน (ต้องทําอะไรบ้าง)
6 : ผลลัพธ์ (ความคาดหวังของผู้อ่าน) ** วิธีการแก้ปัญหา (ข้อที่ 2 สร้างดิจิตอลโปรดักส์จากการเขียนได้)
5 : ต้องสร้างดิจิตอลโปรดักส์เป็น ** วิธีการแก้ปัญหา (ข้อที่ 1 มีธุรกิจออนไลน์)
4 : ต้องรู้เทคนิคการตลาด
3 : ต้องมีวินัย และทําอย่างสมํ่าเสมอ
2 : ต้องเลือกธุรกิจให้เหมาะสม กับตัวเอง
1 : ต้องคิดเป็น
ปัญหา
- อยากมีธุรกิจออนไลน์ (แต่)
- ไม่มีเงินทุน
จากนั้น ให้คุณเปลี่ยน ขั้นตอน เป็น หัวข้อหลัก ที่จะเขียน ถ้าคุณจะทําเป็น E-Book หรือ บทความ ตอนนี้ คุณก็ได้ ชื่อบท ของแต่ละบทแล้ว แต่ถ้าคุณจะทําเป็นคลิป ตอนนี้คุณก็ได้ ชื่อตอนหลัก ของคุณแล้ว
แต่ชื่อบท หรือชื่อตอน ที่ดีนั้นควรใช้คําที่สื่อความหมายโดยรวมของหัวข้อย่อยภายในบท หรือตอนย่อยภายในตอนหลักนั้นได้คุณจะต้องมีการเล่นคํา ปรับเปลี่ยนคําเพื่อความเหมาะสม และ สื่อความหมาย โน้มน้าวใจได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่าง เช่น
- ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ควรตั้งเป็น วิธีคิดอย่างนักธุรกิจออนไลน์
- ต้องเลือกธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวเอง ควรตั้งเป็น การเลือกธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวเอง
- ต้องมีวินัยและทําอย่างสมํ่าเสมอ ควรตั้งเป็น การสร้างวินัย
- ต้องรู้เทคนิคการตลาด ควรตั้งเป็น เทคนิคการตลาด
- ต้องสร้างดิจิตอลโปรดักส์เป็น ควรตั้งเป็น สร้างดิจิตอลโปรดักส์ (จากการเขียน)
เมื่อคุณได้อ่าน และทําตามขั้นตอนในหนังสือมาถึงตรงนี้แล้ว สิ่งที่คุณมีในตอนนี้ก็คือ
- เรื่องที่จะเขียน (หรือ ชื่อหนังสือ)
- หัวข้อหลักที่จะเขียน (หรือ ชื่อบท)
เทคนิค สิ่งที่ผมได้ทําควบคู่ไปด้วย นั่นก็คือ ผมได้นํา “หัวข้อหลักที่จะเขียน” ไปสร้างเป็น Content แล้วโพสต์ลง Instagram และ Facebook เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ และ สร้างฐานผู้ติดตามไปด้วย ในขณะเดียวกันมันก็เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่า ผมควรที่จะเขียนหัวข้อนั้น ลงไปในหนังสือเล่มนี้หรือไม่
ตัวอย่าง
วิธีการสร้างโพสต์ จากหัวข้อหลักที่จะเขียน เช่น หัวข้อ ” วิธีคิดอย่างนักธุรกิจออนไลน์ “
- คิดแฮชแท็ก แบบเจาะจงตามหัวข้อ : #วิธีคิด #ธุรกิจออนไลน์ แบบภาพรวม : #ถ้าผมจะสอนลูก #คําคม
- เรียบเรียงเป็นคําคม เช่น
คุณควรสร้างโลกสองใบ ใบแรก เพื่อหน้าที่ ส่วนใบที่สองเพื่อความฝัน
อย่าทําอะไรเองทั้งหมด ถ้าคิดจะเป็นนายตัวเอง
ห้องสี่เหลี่ยมแห่งการเรียนรู้ สอนคุณเพื่อให้ทําเกรดได้เท่านั้น
ภาระสองอย่างในวัยเรียน คือ ต้องทําหน้าที่ และต้องทําตามความฝัน
3. การวัดประสิทธิภาพของโพสต์ ผมตั้งเป้าไว้ว่า จะโพสต์แค่ วันละ 1 โพสต์ และ จํานวนกดไลค์ เฉลี่ย ชั่วโมงละ 1 คน
เมื่อครบ 24 ชั่วโมง โพสต์ไหนที่ได้ครบ หรือเกิน 24 ไลค์ผมถือว่าโพสต์นั้น ประสบความสําเร็จ และผมต้องการผู้ติดตามแค่ 2 วันต่อผู้ติดตามเพียง 1 คน
และนี่คือวิธีการ Research ข้อมูล และวัดผล เพื่อหา “หัวข้อย่อยที่จะเขียน” ที่ผมใช้นั่นเอง
เทคนิคการหาหัวข้อย่อยที่จะเขียน
เปลี่ยนโพสต์ ให้กลายเป็นเนื้อหา วิธีการสร้างจุดขายให้กับเนื้อหาที่คุณเขียน
ขั้นตอนต่อไป เมื่อคุณลองทําการ Research และวัดผล ” หัวข้อย่อยที่จะเขียน ” จากโพสต์แล้ว ผมอยากให้คุณลองดูว่า โพสต์ไหน หัวข้อไหนที่ได้รับการตอบรับที่ดีคุณก็ควรที่จะเอาโพสต์นั้นมาดัดแปลง และใส่มันไว้ในเนื้อหานั้นด้วย ผมขอยกตัวอย่าง วิธีการของผมดังนี้
จากตัวอย่างโพสต์ รูปข้างบน เมื่อผมดูแล้วว่าไอเดียนี้ได้รับการตอบรับที่ดี ผมจึงเรียบเรียงแล้ว แทรกมันไว้ในเนื้อหาตามความเหมาะสม
ตัวอย่าง
คุณอยากเรียนจบมา แล้วได้ทำงานในบริษัทดีๆ จริงหรือ ?
คุณคิดว่าบริษัทดีๆ ในโลกนี้ มีจริงหรือไม่ ?
❝ ในช่วงอายุของการเป็นนักเรียน คุณต้องแบกรับภาระสองอย่าง คือ ต้องทำหน้าที่ และทำตามความฝัน แต่ส่วนมากคุณมักจะเสียเวลาไปกับการทำหน้าที่ มากกว่าที่จะได้ทำตามความฝันของตัวเองจริงหรือไม่ ❞
ระบบการศึกษา ได้กำหนดเส้นทางชีวิตให้คุณต้องเดินแบบนั้น และ สังคมรอบๆ ตัวคุณ ก็ต้องเดินตามระบบการศึกษา เช่นกัน ….
จุดประสงค์ คือ ผมต้องการให้ทุก ๆ หัวข้อนั้น มีจุดขาย หรือประโยคอะไรก็ตามที่ผมคิดว่าผู้อ่านจะชอบ อ่านแล้ว ชวนให้ฉุดคิด และผมก็ได้ทําการ Research มันมาก่อนแล้วนั่นเอง
มันเป็นเพียง ไอเดียที่จะทําให้หัวข้อนั้นน่าสนใจ แต่สิ่งที่คุณจะต้องให้ความสําคัญที่สุดคือ ขั้นตอนที่จะไปสู่ผลลัพธ์ที่ผู้อ่านคาดหวัง เช่น หัวข้อหลัก : วิธีคิดอย่างนักธุรกิจออนไลน์ คุณต้องมองว่า ก่อนที่คุณจะคิดได้แบบนั้น คุณต้องทําอย่างไร ต้องรู้อะไรบ้าง ปัญหาที่คุณเจอในตอนนั้นคืออะไร และต้องทําอย่างไร คุณถึงผ่านมันมาได้
❝ จงคิดเสมอว่า ผู้อ่านต้องการวิธีการ ไม่ใช่ความรู้เพราะจุดเด่นในงานเขียนของคุณคือ เขียนจากประสบการณ์ เพื่อให้ผู้อ่านทําตามคุณ พวกเขาจะได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ❞
ผมขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นสร้างธุรกิจออนไลน์ ผมต้องรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ ประกอบด้วย
- ข้อแตกต่างระหว่างธุรกิจออนไลน์ กับธุรกิจออฟไลน์
- มูลค่าทางธุรกิจ และผลตอบแทน
- แนวทางการต่อยอดธุรกิจ
- ระยะเวลาในการก่อตั้งธุรกิจ
- เงินทุนที่ใช้ ในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจ
เมื่อผมรู้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์แล้ว สิ่งที่ผมต้อง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และมันสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของผม ให้ตัดสินใจทำออนไลน์ มีดังต่อไปนี้
- ธุรกิจที่สร้างรายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- กรณีศึกษา จากคนที่ประสบความสําเร็จ
- ธุรกิจออนไลน์มีอะไรบ้าง
- ข้อดีของงานประจําที่คุณทําอยู่
- ข้อดีที่สามารถแทนที่งานประจําได้
จากนั้น เมื่อมันสามารถเปลี่ยนความคิดของผมได้ ผมจึงเริ่มลงมือทําทันที
แต่ในเมื่อผมทําควบคู่ไปกับ งานประจํา ผมต้องเจอปัญหาเรื่องของเวลา ความเหนื่อย คิดจะยอมแพ้อย่างแน่นอน ผมต้องแก้ปัญหาอย่างไร ผมถึงเอาชนะใจตัว เองได้
เมื่อมันสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของผมที่มีต่อ ธุรกิจออนไลน์ ได้ และผมก็ได้ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานจนประสบความสําเร็จ จากสิ่งที่ผมรู้มา จนค้นพบว่าจริง ๆ แล้ว คนที่ต้องการเดินมาจุดที่ผมยืนอยู่นี้ มันต้องทําอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเหมือนกับผม
จากนั้น ผมก็แค่นํามาส่งต่อให้กับคุณ โดยยืนยันจากประสบการณ์ของผม ที่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน นั่นเอง
จากตัวอย่าง ผมอยากให้คุณค่อย ๆ คิดตามต่อยอดจาก ไอเดียและแนวคิด ของผมให้ได้ เพราะต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันปัญหาเดียวกัน แต่ละคนก็จะมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน อยู่ที่ว่าผู้อ่านของคุณจะชอบแบบไหน หาให้เจอ และเขียนให้ตรงจุด งานเขียนของคุณถึงจะขายได้
เขียนเนื้อหาให้สมบูรณ์
ใส่คำที่เป็นคีย์หลัก วิธีขยาย และเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ปะติดปะต่อโดยเอาเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ จากคีย์หลัก มาร้อยให้ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
คุณรู้หรือไม่ว่า มี AI ที่สามารถช่วยให้คุณเขียนเนื้อหาให้สมบูรณ์ได้
เรียนรู้เพิ่มเติม
ในหนึ่งหัวข้อมักจะประกอบไปด้วย
- ส่วนหัวเรื่อง
- บรรทัดผู้เขียน
- ส่วนนําเนื้อหา
- ส่วนของเนื้อหา
- สรุปเนื้อหา
วิธีที่ผมใช้นั่นก็คือ ใส่คําที่เป็นคีย์หลัก ๆ ที่คิดได้ ณ ตอนนั้น (เหมือนกับเราไฮไลคําสำคัญ ๆ ในหนังสือนั่นเอง) แล้วค่อย ๆ ขยายความให้เป็นประโยคเชื่อมคําแต่ละคำ แต่ละประโยคเข้าด้วยกัน ทำการจัดลําดับเนื้อหาก่อนหลังของย่อหน้าให้เหมาะสม
จากนั้น หาไอเดียว่าจะเพิ่มเนื้อหาอะไรลงไปได้อีกบ้าง โดยอาจดูจากงานเขียนของคนอื่น หรือ บทความต่าง ๆ บนเว็บไซด์เพื่อให้เนื้อหาของเราสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ของคนอื่นที่มีอยู่แล้ว
ดังนั้น การอ่านงานเขียนของคนอื่นเยอะ ๆ จะช่วยให้งานเขียนของเรามีจุดแตกต่างจากงานเขียนของคนอื่น แต่ต้องมั่นใจด้วยว่า เนื้อหาที่เราจะเพิ่มเข้าไปนั้นอยู่ในขอบเขตหัวข้อที่เรากำลังเขียน
เทคนิคการเรียบเรียงเนื้อหา
ขั้นตอนของการปรับแต่งเนื้อหา ให้สอดคล้องกันในภาพรวม วิธีการแก้ภาษาหุ่นยนต์ ความลื่นไหลของประโยค เมื่ออ่านออกเสียง
มีเนื้อหาที่สอดคล้องกันในภาพรวม และแต่ละบท แต่ละ หัวข้อ แต่ละย่อหน้า ตรวจทานคําให้ถูกต้อง ภาษาพูด ภาษา เขียน ความหมายของคํา คําแทนตัว ผม ผู้เขียน คุณ หรือ ผู้อ่าน ใช้คําเดียวกันตลอดทั้งเล่ม หาคนอ่านให้ฟัง หรือไม่ก็ แปลภาษาอ่าน จะได้เห็นถึงความ ไหลล่ืน คําผิดถูกด้วย ตัดคําที่ใช้บ่อย เรื่องที่เล่าซํ้า ชวนสับสน คําที่ความหมาย กํากวม ลองอ่านออกเสียง สมมุติว่าเป็นบทพูด จะทําให้ภาษาไม่เป็น หุ่นยนต์เกินไป ให้ความสําคัญกับคําเชื่อมประโยคต่าง ๆ อ่านภาพรวม ตัวไหนเกินให้ตัดออกให้กระชับ
เทคนิคการเขียนให้น่าสนใจ
ทำไมหนังสือบางเล่ม เราอ่านแล้วถึงไม่อยากวาง แต่กับบางเล่ม เราอ่านได้เพียงไม่กี่หน้าก็เบื่อเสียแล้ว เคล็ดลับ และวิธีการที่จะช่วยให้งานเขียนของคุณน่าอ่าน และไม่น่าเบื่อ
ปกติเวลาอ่านหนังสือ คนเราจะใช้ตารับสารและส่งต่อไปยังสมองเพื่อสร้างเป็นภาพในหัว หรือจินตนาการ ควรเขียนให้เป็นเหมือนการเล่าเรื่อง ให้เห็นภาพ โดยที่ผู้อ่านสามารถจิตนาการภาพตามได้
แทรกคำที่เป็นคำคม หาจุดขายในแต่ละวรรค แนวคิด และแทรกประสบการณ์ โน้มน้าวคนอ่านให้คิดตาม โดยคิดเรื่องเขาเป็นหลัก ด้วยประโยคที่ว่า แล้วคุณละ เป็นการถามถึงคนอ่าน ใส่มิติ รูป รส กลิ่น เสียง เข้าไปในเนื้อหา ถ้าเป็น How to ไม่ต้อง แต่ให้เน้นตรงประเด็น