IF I WERE TO TEACH MY CHILDREN ถ้าผมจะสอนลูก | คำนำผู้เขียน

ผมอยากจะถามคุณว่า เหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจอ่านหนังสือเล่มนี้ คืออะไร

คุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ใช่หรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่าคุณก็คิดไม่ต่างไปจากผม ซึ่งอยู่ในกลุ่มของคนที่อยากรวย


หลายคนอาจแย้งในใจตั้งแต่แรกเลยว่า “ก็ใช่นะสิ คุณรวยแล้ว จะพูดอะไร หรือจะเขียนอะไรก็ได้ คุณไม่มีวันเข้าใจพวกเราจริงๆ หรอก” ถ้าผมจะบอกคุณว่า ตอนที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น ผมก็ยังเป็นพนักงาน ทำงานประจำอยู่เลย แบบนี้คุณยังอยากที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ของผมอยู่หรือไม่

หลายคน เลือกเขียนหนังสือ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ความสำเร็จ แต่สำหรับผมนั้น เลือกเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ความล้มเหลว เพราะผมเชื่อว่า ความล้มเหลว มันสามารถสอนคนได้ดีกว่า ความสำเร็จ

หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า คนที่อยากรวยจริงๆ แล้วมีอยู่ทั้งหมดกี่ประเภท ถ้าคุณยังไม่เคยรู้มาก่อน หนังสือเล่มนี้ ยิ่งเหมาะกับคุณ ผมได้แบ่งคนที่อยากรวยออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

  1. คนที่อยากรวย แต่ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักที
  2. คนที่อยากรวย แต่ยังทำตรงข้าม กับวิถีทางของคนรวย
  3. คนที่อยากรวย และเริ่มทำตาม วิถีทางของคนรวย

คุณคิดว่า คุณเป็นคนที่อยากรวยประเภทใด ผมใช้วิธีการในหนังสือเล่มนี้ พัฒนาตนเองจนได้ผล ก่อนที่จะนำมาเผยแพร่ให้คุณได้อ่านกัน คุณจะได้คำตอบว่า

ทำไมคุณถึงไม่รวยกับเขาสักที


ผมต้องขอขอบคุณ บุคคลที่เป็นต้นแบบ ที่มีส่วนทำให้หนังสือเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ ผมได้แกะรอยความสำเร็จของคนรวยหลายคน ผมถือว่าพวกเขาทุกคน เปรียบเสมือนแผนที่ ที่คอยเป็นไกด์นำทางให้กับผม ได้นำเอาแนวคิดและวิธีการต่างๆ มาต่อยอดได้สำเร็จ ให้คำตอบกับผมได้ว่า ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในชีวิต แต่บางคนต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิตอยู่บ่อยครั้ง

ผมเป็นอีกหนึ่งคน ที่ต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิตมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกับหนึ่งความเชื่อที่ผมมักจะได้ยินพ่อแม่ของผมอ้างอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ ความล้มเหลวเป็นเรื่องราวของโชคชะตา ไม่มีใครที่จะสามารถเอาชนะโชคชะตาของตัวเองได้ “จริงหรอ”

แล้วทำไมคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงเห็นต่างในเรื่องนี้


ทำไมพวกเขาถึงเชื่อว่า ความคิด เมื่อเวลาผ่านไปจะตกตะกอนเป็นคำพูด และถ่ายทอดออกมาเป็น การกระทำ จากนั้น คำพูด และการกระทำ จะเปลี่ยนเป็น นิสัย และ บุคลิก ซึ่งเจ้านิสัยและบุคลิกนี่เอง ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต หรือโชคชะตาของคนๆ นั้น

ทำไมพวกเขาเชื่อว่า ต้นกำเนิดของโชคชะตามาจากความคิดที่อยู่ภายใน ส่วนภายนอก มักจะทำหน้าที่สะท้อนถึงสิ่งที่อยู่ภายในของคนๆ นั้นออกมา มันดูเหมือนเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเสียมากกว่า แต่ทำไมพวกเขาถึงเชื่อมั่นในความเชื่อนี้ เสียเหลือเกิน

ผมสนใจเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อที่จะนำแนวคิดที่ได้ กลับมาใช้ในการพัฒนาตนเอง และผมก็ได้เจอกับงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ยังมีอะไรอีกมากมาย ที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างพวกเรายังไม่เคยรู้ และก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เรานั้นยังไม่เคยเห็น  แต่ก็ใช่ว่าสิ่งต่างๆ  เหล่านั้นจะไม่มีอยู่จริง

งานวิจัยชิ้นนี้ถูกวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยา คุณหมอด้านจิตเวช รวมทั้งทีมหมอที่เชี่ยวชาญด้านสมองของมนุษย์ ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อไขปริศนาความเป็นไปของสมองมนุษย์

และหาคำตอบที่ว่า ทำไมมนุษย์บางคน ถึงประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางคน ที่ต้องพบกับความล้มเหลว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บางคนผลการเรียนออกมาไม่ดี บางคนทำธุรกิจอะไรไปก็ล้มเหลว แต่อีกมุมหนึ่งก็มีบางคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง แต่สุดท้าย พวกเขาก็มักที่จะกลับมามั่งคั่ง ร่ำรวยเหมือนเดิม บางคนกลับมีฐานะร่ำรวยขึ้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ บนโลกใบนี้มีคนประเภทนี้อยู่เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และพวกเขาก็มักจะเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินที่ดี


นักวิจัยได้หาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาเป็นเวลานานหลาย 10 ปี จนพบว่า ในสมองของมนุษย์นั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า นิวเริล (Neural)

เจ้า นิวเริล (Neural) ตัวนี้จะมีลักษณะเหมือนโครงข่ายใยแมงมุม มีแขนเป็นรากเหมือนกับต้นไม้ ที่เรียกว่า แอกซอน (Axon) และยังพบว่า เจ้า นิวเริล (Neural) ตัวนี้ มีอยู่ในสมองของมนุษย์เป็นล้านๆ เซลล์ และมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ตามสิ่งที่คนเราคิด

แอกซอน (Axon) จะทำหน้าที่เหมือนกับแขน ยื่นออกมาเพื่อที่จะเชื่อมต่อ ระหว่าง นิวเริล (Neural) ด้วยกัน ด้วยการติดประจุไฟฟ้า เวลาเราเกิดความเครียด มีความคิดลบ รู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ ซึมเศร้า หรือแม้กระทั่ง มีความคิดด้านบวกก็ตาม มันจะส่งเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งนักวิจัย สามารถวัดเจ้ากระแสไฟฟ้านี้ออกมา เป็นค่าไฟฟ้าได้จริงๆ แต่มีขนาดโวลต์ที่ต่ำมาก เราเรียกมันว่าคลื่นสมอง เชื่อมต่อถึงกันเป็นล้านๆ เซลล์ ส่งกันไปส่งกันมา

เมื่อเราคิดลบ มันจะส่งกระแสไฟฟ้าที่เป็นขั้วลบ และเมื่อเราคิดบวก มันก็จะส่งกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นขั้วบวก การเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ก็มักที่จะเป็นไปตามขั้วไฟฟ้านั้นๆ เสมือนว่าเซลล์ที่ออกมา จะเป็นเซลล์ที่สามารถรับรู้ได้ว่า ในช่วงเวลานั้น เรากำลังรู้สึกอย่างไร เช่นรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเครียด รู้สึกเศร้า เซลล์แต่ละตัว จะทำการเชื่อมต่อเข้าหากัน เป็นโครงข่ายใยแมงมุม เป็นล้านๆ เซลล์

ถ้าหากว่าเรานั้นคิดลบซ้ำๆ จากวันเป็นเดือน เป็นปีผลปรากฏว่า นิวเริล ( Neural) จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จับกันเป็นโครงข่ายที่แข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คนๆ นั้น จะมีลักษณะที่ เครียดง่าย เศร้าง่าย หรือบางรายอาจหนักถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งนักจิตวิทยาก็ใช้หลักการเหล่านี้ ในการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะซึมเศร้า เช่นกัน


เมื่อ นิวเริล (Neural) ในสมองของคนๆ นั้น มีแต่เซลล์ที่เป็นขั้วลบ ส่งผลให้คิดอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสมองลึกๆ ของคนๆ นั้น จะคิดเสมอว่า ยังไงฉันก็ทำไม่สำเร็จแน่ คนเหล่านี้จะเกิดความกลัว คิดจะทำอะไร ก็มักที่จะได้ยินเสียงค้านในหัวของตัวเองว่า มันจะทำได้จริงหรือ มันจะสำเร็จจริงหรือ ซึ่งสิ่งที่เราคิดนั้น จะส่งผลโดยตรงไปถึงจิตใต้สำนึก และ นิวเริล (Neural) ด้านลบ ที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาลนั้น จะทำให้กระบวนการส่งผ่านข้อมูล ที่อยู่ภายในสมองของคนๆ นั้น รับรู้ได้ว่า คนๆ นั้นทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ซึ่งถ้าจะมองให้ลึกถึงรายละเอียดแล้ว ก็เป็นกลไกการป้องกันตัวทางธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งที่เราคิด ที่เรากังวล เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตราย ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวของเรานั่นเอ

นักวิจัยจึงให้เหตุผลว่า ทำไมบางคนถึงล้มเหลวซ้ำๆ เพราะการสร้างโครงข่ายของ นิวเริล (Neural) จะมีแต่เซลล์ลบๆ มาเชื่อมต่อกัน สาเหตุนี้เอง มันจึงสามารถกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ได้เลยว่า คนๆ นั้น จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ หรือจะล้มเหลวไปตลอดชีวิต

เมื่อรู้ถึงสาเหตุแล้ว นักวิจัยจึงทำการคิดค้น ทดลองวิธีการที่จะปรับทางเดินของ นิวเริล (Neural) ภายในสมองใหม่ หรือที่เรียกว่า วิถีประสาท (Neural Pathway) พูดง่ายๆ ก็คือ ทำเส้นทางให้มันใหม่ โดยใช้หลักการที่เรียกว่า NLP

NLP หรือ Neuro Linguistic Programming ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสถาบันอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่ไปปรับบุคคลิกคน เข้าไปปรับจิตวิญญาณ เจตคติของคน เป็นศาสตร์ของจิตบำบัด

ที่สามารถฟื้นฟูให้นักกีฬา ที่หมดสภาพแล้ว ให้กลับมาแข่งขันได้ใหม่ สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจของนักธุรกิจที่สิ้นหวัง หมดหวัง ให้กลับมามั่งคั่ง ร่ำรวยเหมือนเดิมได้


วิธีการก็คือ นักจิตวิทยาจะเข้าไปปรับฉากต่างๆ ที่อยู่ในสมอง เหมือนกับการรีเซตคอมพิวเตอร์ใหม่ ส่วนไหนที่ดีๆ ก็เก็บไว้ ส่วนไหนที่ไม่ดีก็ลบออก ทำการจัดเรียงไฟล์ใหม่ ใส่ความคิดที่เป็นด้านบวกเข้าไป โดยมีการทดลองกับกลุ่มทดลองหลายคน ทำทุกวัน เพียง 7 วัน นักวิจัยพบว่า รากของ นิวเริล (Neural) เริ่มแตกรากแขนงใหม่ และเป็นเซลล์บวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เซลล์บวกเหล่านี้ จะค่อยๆ จับตัวกันใหม่เป็นโครงข่ายใหม่ เกาะกันเป็นล้านๆ เซลล์ ส่วนเซลล์ลบ เมื่อเราไม่คิดลบ เซลล์เหล่านั้น ก็จะค่อยๆ ฝ่อ ค่อยๆ หดตัวลง และตายไปในที่สุด คนๆ นั้นก็จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม มีความสุขในชีวิตมากขึ้น มองอะไรเป็นบวกมากขึ้น

หลักการต่างๆ เหล่านี้ ผมคิดว่าไม่ต่างจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเลย เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าได้ค้นพบก่อน เมื่อเวลาผ่านไป วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้า จึงสามารถค้นพบ และยืนยันออกมาเป็นผลวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ได้นั่นเอง


ที่สำคัญ เศรษฐีทุกคนใช้กลไกเหล่านี้ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่นคือ นำวิธีคิดมาใช้ในการพัฒนาตนเอง และพวกเขาก็มักที่จะถ่ายทอด วิธีคิด ให้กับลูกของพวกเขาด้วยเช่นกัน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมคนรวยถึงมีแต่ยิ่งรวยขึ้นรวยขึ้น ในขณะที่คนจน ก็มีแต่จะจนลงจนลง

หนังสือออนไลน์ ถ้าผมจะสอนลูก จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงวิธีการ ในการสร้างพลังบวกให้กับตัวเอง และวิธีการในหนังสือนี้ ได้ผ่านการทดสอบด้วยตัวของผมเองมาแล้ว แต่ทั้งนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย

ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้าผมยังทำได้ คุณเองก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *