วงจรของ ความยากจน | The Cycle Of Poverty
วงจรของความยากจน
❝ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ ว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ใน วงจรอุบาทว์ของความยากจน 90% เป็นคนที่มีฐานะยากจน และมีเพียงแค่ 10% เท่านั้น ที่มีฐานะร่ำรวย ❞
เมื่อเราอายุได้ประมาณ 3 – 4 ขวบ พ่อแม่ของเรา ก็จะส่งให้เราเข้าสู่ระบบการศึกษา ตามที่กฏหมายได้กำหนดไว้ และเมื่อคุณเรียนจบ คุณจะมีทางเลือกเพียง 2 ทาง นั่นก็คือ ลูกจ้างในฝั่งของเอกชน และ ลูกจ้างในฝั่งของรัฐบาล โดยมีความเชื่อที่ว่า งานราชการ มีความมั่นคงกว่างานเอกชน
คุณเสียเวลาชีวิตไปกับวงจรอุบาทว์นี้กี่ปี ผมเริ่มนับตั้งแต่ที่คุณเริ่มเข้าเรียนในระบบการศึกษา จนกระทั่งถึงวัยทำงาน ผมขอเดาว่าเป้าหมายอันใกล้ของคุณเมื่อคุณเรียนจบ นั่นก็คือ ได้ทำงานในภาครัฐ หรือไม่ก็เอกชน แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน คุณก็ถูกจัดอยู่ในตำแหน่งลูกจ้างอยู่ดี
มันเป็นเรื่องยากมากที่เด็กจบใหม่ จะสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว โดยอาศัยความรู้ที่ได้จากระบบการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะความรู้ที่คุณได้จากระบบการศึกษานั้น เอื้ออำนวยให้คุณมีทางเลือกได้แค่สองทาง และความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่ยังเชื่อว่า ยังไงงานประจำก็ยังมั่นคงกว่าการทำธุรกิจส่วนตัว
ดูเหมือนว่าคนที่ชอบงานราชการจะได้เปรียบกว่า และเหมาะที่จะเรียนในระบบการศึกษา แล้วคนที่ไม่ชอบงานราชการล่ะ จะต้องใช้ชีวิตอย่างไร
คำตอบที่ผมมักจะได้ยินนั่นก็คือ ก็รีบๆ เรียนให้จบ จะได้ทำงาน เก็บเงิน เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว
ใช่แล้วครับ ผมก็เลือกที่จะใช้วิธีนี้ แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว ในการออมเงินนั้น ถ้าสมมุติว่าคุณเรียนจบ แล้วได้ทำงานประจำ โดยได้รับเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 บาท สูตรการออมเงินที่หลายคนแนะนำก็คือ ให้แบ่งเงินขั้นต่ำ 10% จากรายได้ทั้งหมด เพื่อเป็นเงินออม นั่นก็คือ 1,500 บาทต่อเดือน ถูกต้องแล้วครับ นั่นคือเงินเก็บของคุณ ถ้าสมมุติว่าคุณตั้งเป้าอยากได้เงิน 100,000 บาทแรก คุณต้องเก็บเงินกี่เดือนถึงจะได้ตามเป้า
จากตัวอย่าง คุณมีเงินเก็บ 18,000 บาท ต่อปี ใช้เวลา 5 ปีครึ่ง กับเงินเก็บจำนวน 100,000 บาทแรกในชีวิต สมมุติว่าคุณเริ่มทำงานเมื่อตอนอายุ 23 ปี กว่าคุณจะมีเงินเก็บ 100,000 บาทแรก คุณก็อายุ 28 ปีแล้ว เว้นแต่ว่า คุณจะต้องโปรโมทตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันคงไม่ง่าย และต้องใช้เวลากว่าผลงานของคุณจะได้รับการประเมิน
และคนส่วนใหญ่ ก็มักจะติด กับดักทางการเงิน เช่น ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน โดยเข้าใจว่า มันเป็นสินทรัพย์ และแน่นอนครับ บั้นปลายชีวิตของคุณ ก็จะตกไปอยู่ในฝั่งของคนจน
เมื่อคุณมีลูก ลูกของคุณ ก็ต้องยังคงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ เหมือนกับคุณไม่มีผิด เพราะคุณ ไม่มีมรดกที่เป็นธุรกิจทิ้งไว้ให้ลูก นั่นหมายความว่า ลูกของคุณ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งในวงจรนี้ใหม่ ในขณะที่เงื่อนไขในชีวิต จากสังคมภายนอก เริ่มที่จะยากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของเด็กจบใหม่ ที่พึ่งเริ่มทำงาน นั่นก็คือ เลือกงาน หรือชอบเปลี่ยนงานบ่อย เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด มันยิ่งจะทำให้คุณพลาดโอกาส ในการที่จะได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นตามไปด้วย เพราะคุณมักที่จะพยายามหางานที่ตัวเองชอบ หางานในบริษัทดีๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว สุดท้ายคุณจะพบว่า คำว่าลูกจ้าง ต่อให้บริษัทนั้นดีแค่ไหน คุณก็ไม่มีความสุขกับมันอยู่ดี
เด็กรุ่นใหม่ ไม่ชอบการเป็นลูกจ้าง และผมเชื่อว่า ถ้าคุณสามารถเลือกได้ ใครๆ ก็ต่างอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองทั้งนั้น แต่ติดตรงที่ ระบบการศึกษา ไม่เคยที่จะสอนเรื่องพวกนี้ให้กับคุณ มิหนำซ้ำพ่อแม่ส่วนใหญ่ยังมองว่า หน้าที่หลักของคุณในช่วงวัยเรียน คือการทำเกรดให้ได้ดีๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ของคุณภูมิใจ “แต่สุดท้าย คุณอาจจะกลายเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ก็ได้”
ผมมองว่ามันสายไป ถ้าคุณเริ่มคิดเรื่องเงินในวันที่คุณเรียนจบ ทั้งๆ ที่ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีด้านต่างๆ นั้น เอื้ออำนวยกว่าแต่ก่อนมาก แต่ระบบการศึกษา และค่านิยมของคนส่วนใหญ่ ก็ยังสอนให้คุณไปเป็นลูกจ้างของคนอื่นอยู่ดี
ใครที่ฝากอนาคตไว้กับระบบการศึกษา อย่าลืมว่า การศึกษา ก็เป็นธุรกิจอีกประเภทหนึ่ง ที่บริหารโดยรัฐบาล ระบบนี้ มีหน้าที่ผลิตคน ที่เรียกว่า “แรงงาน” เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรม นั่นเอง
คุณคงได้ยินข่าว ปัญหาเกี่ยวกับแรงงานที่จบออกมาใหม่ ไม่ตรงตามที่ตลาดแรงงานต้องการ ซ้ำในยุคปัจจุบัน ยังมีเทคโนโลยีมาแทนแรงงานคนได้ อัตราการตกงานจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกปี หรือไม่ก็ได้งานที่ไม่ตรงสายที่ตนเองเรียนจบมา นี่คือความเป็นจริงของโลกในปัจจุบัน ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ ต้องตระหนักและตื่นตัวกับเรื่องนี้ได้แล้ว
ตอนที่คุณยังอยู่ในช่วงวัยเรียน คุณจะมีความฝันที่สวยหรู รวมทั้งพ่อแม่ของคุณด้วย ใช่หรือไม่ แต่ส่วนมาก ความฝันที่ยิ่งใหญ่ก็มักที่จะสิ้นสุดลง ในวันที่คุณเรียนจบ เพราะคุณจะเปลี่ยนความคิดใหม่ทันทีว่า ต้องหางานให้ได้ ไม่ว่างานอะไรก็ต้องทำไว้ก่อนดีกว่าตกงาน และเมื่อคุณก้าวเข้าสู่วงจรชีวิตของมนุษย์เงินเดือน คุณจะหมดพลังชีวิตไปกับการทุ่มเท ในการรับใช้ความฝันของคนอื่น จนคุณอาจจะไม่มีเวลาคิด จนกระทั่งลืมความฝันของตัวเองไปเลย
ในวงจรของความยากจนนี้ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่คุณจะสามารถประสบความสำเร็จก่อนอายุ 30 สุดท้าย คุณก็จะตกไปอยู่ในฝั่งของคนจนอีกเช่นกัน
เมื่อคนจนมีลูก ทางเลือกเดียวของพวกเขาก็คือ ส่งลูกเรียนในระบบ แต่บางครอบครัวนั้น ไม่มีโอกาสแม้แต่ที่จะได้ส่งลูกเรียนในระบบเลยด้วยซ้ำ เพราะวงจรอุบาทก์นี้ จะส่งผลให้คนจนยิ่งจนลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่า ระบบการศึกษา และตัวเราเอง ยังไม่ตื่นตัวกับเรื่องนี้
ผมเชื่อว่าบางอย่างนั้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่ทุกวงการมักจะมีคนอยู่สองกลุ่ม นั่นก็คือ คนที่พร้อมจะให้ความร่วมมือ และยินดีกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังยึดติดกับความเคยชินเดิมๆ และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงเป็นไปได้ช้า และติดปัญหา ทำให้ไม่สามารถปรับตัวกับสถานการณ์ของโลกที่มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กว่าหลักสูตรต่างๆ จะได้รับการบรรจุ ก็ล้าสมัยไปเสียแล้ว
อีกฝั่งหนึ่ง คนที่รวยจากงานประจำ รวยในที่นี้ไม่ถึงกับขนาดเศรษฐี เพราะคงไม่มีทางทำเงินได้ขนาดนั้นในการหารายได้จากงานประจำเพียงอย่างเดียว นอกเสียจากว่า คุณจะทำอาชีพเสริม ซึ่งนั่นคุณก็ได้เริ่มเข้าสู่ฝั่งของนายตัวเองแล้ว คนที่มีฐานะหน่อยมักจะส่งลูกเรียนพิเศษ เรียนอินเตอร์ หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้เรียนในตัวเมืองใหญ่ๆ เพราะพวกเขากำลังพยายามที่จะหาทางหนีออกจากวงจรอุบาทว์นี้นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าภาระจะต้องตกอยู่ที่พ่อแม่ ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย ที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียนมาจะสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่
ในฝั่งของคนรวย เมื่อพวกเขามีลูก พวกเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ลูกหนีออกจากวงจรนี้ให้ได้ โดยการส่งลูกเรียนพิเศษ ส่งลูกเรียนนานาชาติ โดยมองว่า ถึงระบบการศึกษาต่างประเทศจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังดีกว่า ที่จะไม่พยายามทำอะไรเลย และพวกเขามักจะมีแนวคิดในการสอนลูก ที่แตกต่างจากคนจนอย่างสิ้นเชิง
หากคุณยังติดอยู่ในวงจรอุบาทก์นี้ คุณอย่าเพิ่งหมดหวังไป เพราะมีคนถึง 10% ที่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนร่ำรวยได้ และผมจะพาคุณไปพบกับพวกเขาในบทต่อไป พร้อมๆ กับวิธีการที่ผมลองใช้แล้วได้ผลจริง ซึ่งผมได้รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
ในหนังสือเล่มหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณแสวงหาความมั่นคง คุณก็จะไม่มีวันได้เจอกับความมั่งคั่ง” ผมไม่ได้หมายความว่า ให้คุณเลือกเป็นลูกจ้างในฝั่งของเอกชน ที่มีความมั่นคงน้อยกว่างานราชการ แต่ผมอยากให้คุณหนีออกจากวงจรนี้ไปเลยต่างหาก เว้นเสียแต่ว่า คุณรักในงานราชการจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็เคารพในการตัดสินใจของคุณ
แต่ถ้าคุณไม่ชอบงานราชการ และไม่ชอบการเป็นลูกจ้างแล้วล่ะก็ หนังสือเล่มนี้ เหมาะกับคุณเป็นอย่างยิ่ง
มีหนังสือจากคนที่เขาประสบความสำเร็จอยู่หลายเล่ม ที่เขียนแนะนำในเรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่า เราจะสามารถทำตามได้ทันที หนังสือบางเล่ม ก็ให้เพียงแง่คิด หนังสือบางเล่ม ก็ได้แค่สร้างแรงบันดาลใจ หรือให้เพียงไอเดียการต่อยอด เมื่อคุณอ่านมันจบ
ส่วนหนังสือเล่มนี้ มันอาจสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ ให้แง่คิด และสามารถทำตามได้ทันที หรือในทางกลับกัน มันอาจไม่ให้ประโยชน์อะไรกับคุณเลยก็เป็นได้ เพราะผมถ่ายทอดประสบการณ์จากมุมมองของความล้มเหลว ไม่ได้ถ่ายทอดจากมุมมองของความสำเร็จ แต่ในบางเรื่องนั้น คนที่เขาประสบความสำเร็จ อาจมองข้าม หรือไม่สามารถเข้าถึงปัญหาที่คุณต้องเจอจริงๆ ก็เป็นได้
ผมไม่ได้บอกว่า แนวความคิด ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ของผม ถูกต้องไปเสียทั้งหมด เพราะผม ก็ต้องเคารพความคิดเห็นที่ต่างของคนอื่น แต่ผม ก็อยากให้คุณลองพิสูจน์มันด้วยตนเอง แล้วลองกลับมาทบทวนดูว่า สิ่งที่ผมได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ มันเป็นแนวความคิดที่ดี หรือไม่
ดังนั้น เมื่อคุณเสียเงินซื้อหนังสือเล่มนี้ของผมไปแล้ว ผมอยากให้คุณใช้มันให้เกิดประโยชน์ และคุ้มค่ามากที่สุด จงคิดเสียว่า มันเป็นเงิน 10% จากบัญชีที่คุณแบ่งไว้ เพื่อการศึกษาของตัวเอง เพื่อแลกกับสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในบทต่อๆ ไป
เอาล่ะครับ หลังจากที่คุณเข้าใจในวงจรอุบาทก์นี้แล้ว ในหัวข้อต่อไปผมอยากให้คุณได้รู้จักกับทฤษฎีแห่งความสำเร็จ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมา โดยอาศัยประสบการณ์ความล้มเหลวของตัวเอง มาวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ผมล้มเหลวในครั้งที่ผ่านมานั้น เกิดจากสาเหตุอะไร
ซึ่งมันทำให้ผมรู้ว่า ผมจะต้องพัฒนาตนเองในเรื่องใดบ้าง ผมได้ตัดสินใจนำมาเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต โดยใช้วิธีการในแบบฉบับของผม ในลักษณะของพ่อสอนลูก ที่ไม่เน้นวิชาการมากจนเกินไป แต่เน้นไปที่ให้คุณลองปฏิบัติจริง เพื่อพิสูจน์แนวคิดของผม ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วยตนเองเสียมากกว่า